วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Fic song 四季折の羽 [Mikazuki x tsurumaru]

Fic song 四季折の

Mikazuki x tsurumaru
Rate : 15+

ว่าด้วยเรื่องฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคแต่งขึ้นเพื่อประกอบเพลง Shikiori no hane มาในคู่ของ ปู่ย่า (มิคะทสึรุ ;w;) หวังว่าจะชอบกันนะคะ หากว่ามีผิดพลาดประการใดนั้น ต้องขออภัยมากๆ ไม่รู้จะวางนิสัยตัวละครอย่างไงดีมีอะไรสามารถคอมเม้นชมได้ค่ะ ไม่ว่าอะไร //w// ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 

Song >> https://www.youtube.com/watch?v=gqQq7bDICqk

Thai ver >>https://www.youtube.com/watch?v=uxqkOyUTaXQ

            >> https://www.youtube.com/watch?v=tyByniWMrqc  





  
舞い落ちる粉雪が
山の背を白く染める
寂れた村の あばら家で
二人、身を寄せ合う 冬の夜

….หิมะสีขาวที่กำลังร่วงลงมา ปกคลุมให้สันภูเขานี้กลายเป็นสีขาว
ณ กระท่อมหลังน้อยๆในหมู่บ้านที่ห่างไกล เราสองเอนกายเข้าหากัน


       
     ละอองเหมันต์ที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาอย่างอ้อยอิงคล้ายกับเหล่าเกล็ดเหมันต์นั่นกำลังร่ายรำในฤดูเหมันต์นี่ความหนาวเหน็บถูกปกคลุมไปทั่วภูเขาจนสีของเหล่าพฤกษาแปรเปลี่ยนจากสีเขียวขจีกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บไม่เหมาะกับการเพาะปลูกใดๆทำให้หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ถูกปล่อยให้รกร้างไร้ซึ่งผู้คนออกมาเดินเหมือนยามปกติเนื่องจากความหนาวเหน็บเสียดสีไปตามผิวกายาจนไม่อยากจะขยับตัวออกมาทำมาหากินเช่นยามฤดูคิมหันต์ทำให้ ณ หมู่บ้านที่ถูกปกคลุมไปด้วยเหมันต์เงียบเหงากว่าปกตินัก
           

ในฤดูเหมันต์ที่หนาวเหน็บรวมไปถึงเหล่าเกร็ดไอธาราที่หลอมหลวมหลั่งไหลออกมาจากท้องนภานั้นมิได้สร้างความหนาวเหน็บให้กับบ้านหลังน้อยๆที่แยกตัวออกมาจากหมู่บ้านที่ห่างไกล ไอร้อนที่ล่องลอยไปตามนภา พริ้วไหวไปตามอากาศพร้อมกับเสียงกระแทกกายเข้าหากันของร่างสองร่างที่กำลังตะกายกอดรัดกันราวกับไม่อยากจะแยกออกจากกัน เสียงครวญครางแววหวานดังกระเซ้าราวกับกำลังวิงวอนให้ร่างสูงด้านบนที่กำลังทาบทับตนรีบเร่งในกิจกรรมมุดฟูกที่กำลังบันเริงด้วยไฟราคะของทั้งสองเพื่อปรนเปรอให้ร่างของตนได้ถึงฝั่งฝัน
           

“อ๊า….มิคาสึกิอะ อ๊า….
           

เสียงครางแววหวานที่ถูกไฟราคะครอบงำจนไม่เหลือแม้แต่สติเอ่ยชื่อของผู้ที่อยู่ด้านบนและกำลังเสพสมเรือนร่างขาวโพลนดังเหมันต์ข้างนอกเรือนอย่างสุขสมก่อนที่เจ้าของชื่อจะเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มรอยยิ้มออกมาดวงเนตรสีไฟรินที่มีจันทราเสี้ยวเดือนสามประดับอยู่ในดวงเนตรช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หากแต่มันกลับเหมือนมนตราบางอย่างสะกดให้ร่างด้านล่างต้องจับจ้องก่อนที่จะกรีดร้องออกมาอีกคราเมื่อเจ้าของดวงเนตรดั่งภาพฉายของท้องนภาในยามราตรีเริ่มขยับแกนกายเข้ามาในช่องทางสีหวานอีกครา
           

“หือ….เหตุใดเจ้าถึงได้รัดข้าแน่นแบบนี้ล่ะ       
           

ไม่ว่าเปล่า มือหนาของเจ้าของเรือนผมสีไพรินเฉกเช่นดวงเนตรก็ลูบไปตามเรือนเกศาของคนด้านล่างอย่างเบามือ ไม่เหมือนกับการขยับกายข้างใต้ที่เร่งจังหวะและเน้นที่จุดกระสันของคนข้างใต้จนอีกฝ่ายกรีดร้องครวญครางออกมาจนเขาต้องโน้มตัวลงไปเพื่อที่จะลิ้มรสความหวานฉ่ำของริมฝีปากบางที่บัดนี้เริ่มมีรสฝาดๆของโลหิตจากการที่เจ้าของริมฝีปากน่าจุมพิตนี้กัดเพื่อกลั้นเสียงครางหวานของตนไม่ให้เขาได้ยินจนสุดท้าย
           

เจ้าตัวน้อยก็ต้องครวญครางอยู่เบื้องล่างเขาอยู่ดี
           

“อ๊า!! อะไม่ ตรงนั้น….ไม่ อ๊า!!
           

เสียงกรีดร้องผสมเสียงครางเบาๆในลำคอเจ้าทั้งสองร่างนั้นดังแววออกมาเครือไปกับเจ้าเหมันต์ที่กำลังเริงรำภายนอก แต่ภายในเรือนหลังเล็กๆกับโดนไฟราคะแผดเผาร้อนดังไฟเสียมากกว่าแดดร้อนในฤดูคิมหันต์เสียอีกหากว่าพวกเขาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครผ่านมาได้ยินฉากร้อนราคะของพวกเขาที่กำลังบันเริงเป็นทำนองให้เจ้าเกร็ดธาราเริงระบำไปมาจนในที่สุดร่างทั้งสองก็ปลดปล่อยความต้องการออกมาเพื่อเติมเต็มให้แก่กันและกัน….

           
มิคาสึกิ มุเนจิกะค่อยๆเคลื่อนตัวถอดถอนแกนกายของตนออกมาจากร่างเล็กที่นอนหอบหายใจโรยรินก่อนที่จะดึงตัวเจ้าของเรือนร่างแสนบริสุทธิ์ที่เขาเพิ่งจะปรนเปรอจนอีกฝ่ายไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวเข้ามาสู่อ้อมกอดพร้อมกับมอบจุมพิตที่หน้าปากมนและปรับเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของอีกฝ่ายเรียกเสียงฤทัยที่อยู่ในกายของตนดังขึ้นอีกครา

           
“อืม….หนาวจัง

           
เสียงงอแงของร่างเล็กในอ้อมกอดเรียกรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของคนที่ได้ยินก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดของตนแน่นขึ้นแล้วเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆทำให้ใบหน้าหวานของทสึรุมารุ คุนินากะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่กำลังกดจมูกคมสันนั้นลงบนเรือนเกศาของตนและสูบกลิ่นกายของตนก่อนจะคลี่รอยยิ้มแสนงดงามจับใจราวกับมนต์สะกดให้ดวงเนตรสีเบญจมาศบนใบหน้าของเจ้าของเรือนร่างสีขาวโพลนนั่นให้จับจ้องไปยังอีกฝ่าย




「出会った日も、雪だった」
あなたが 微笑みつぶやく
囲炉裏火 に火照 った顔を
大きな袖の影に隠した



...’หิมะตกเหมือนในวันแรกที่เราพบกันเลยนะ
ท่านพึมพำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ข้าจึงทำได้แค่เพียงซุกใบหน้าของตนที่เริ่มแดงระเรื่อ
จากไอร้อนไว้บนไหล่ของท่านที่ข้ารัก

           

“วันแรกที่ข้าเจอกับเจ้า...หิมะก็ตกเช่นนี้นี่นะ
           

เสียงนุ่มทุ้มฟังดูรื่นหูเอ่ยขึ้นจากร่างของมิคาสึกิ มุเนจิกะที่แย้มยิ้มออกมาพร้อมกับลูบไปตามศีรษะนุ่มสลวยของคนในอ้อมกอด ดวงเนตรดั่งภาพฉายแห่งนภายามราตรีที่ทอดมองไปภานอกห้องที่มีเหมันต์ตกลงมาโปรยปรายก่อนที่จะหันมาสนใจคนในอ้อมกอดที่เงยหน้าขึ้นมา ดวงเนตรที่เขาคิดว่างดงามเหลือเกินงดงามราวจันทรที่เฉิดฉายในวันเพ็ญก่อนที่เจ้าของดวงเนตรนั้นจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงขัดใจปนกับประหลาดใจเล็กน้อยให้เขา
           

“เจ้ายังจำได้อยู่งั้นหรือ?...น่าประหลาดใจเสียจริง”มิคาสึกิ มุเนจิกะหัวเราะเบาๆกับคำพูดเหน็บแหนมของอีกฝ่ายก่อนที่ก้มลงไปมอบจุมพิตให้ร่างเล็กเงียบลงก่อนที่จะค่อยๆกระซิบเบาๆที่ข้างหูจนทำให้คนในอ้อมกอดต้องซุกใบหน้าที่แดงระเรื่อช่างน่ารักน่าชังนั่นลงบนอกกว้างของเขาเพื่อซ่อนใบหน้านั้นไม่ให้เขาเห็น
           

“จำได้สิทำไมถึงจะจำวันที่เจอภรรยาของตัวเองวันแรกไม่ได้ล่ะ
           

“บะ บ้า!!
           

มือบางทุบเข้าไปที่แผงอกของคนรักของตน ใบหน้าที่แดงระเรื่อช่างตัดกับผิวกายของอีกฝ่ายได้ดีจนมิคาสึกิแอบลอบยิ้มออกมาก่อนที่จะจับรวบมือของทสึรุมารุให้อยู่เฉยๆก่อนที่จะกอดและกดกายของตนไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนี ใบหน้าคมคายซุกลงที่ศีรษะของอีกฝ่ายก่อนจะปิดดวงเนตรสีแปลกตาของตนลง เมื่อรับรู้ถึงการกระทำของอีกฝ่ายร่างเล็กในอ้อมกอดจึงยอมอยู่เฉยๆเพราะรับรู้ว่าคนที่กำลังกอดกายตนอยู่คงจะเหนื่อยมากแล้วทั้งวันก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาเรียกนามของผู้เป็นที่รัก..
           

“นี่….มิคาสึกิ
           

“หืม….
           

เสียงครางในลำคอเอ่ยเป็นการบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับใหลไปยังห้วงนินทรา แต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเหน็บเหนื่อยแล้วอยากจะพักผ่อนเต็มทีร่างเล็กกรอกตาไปมาในอ้อมกอดของคนร่างสูง ไม่แม้แต่ที่จะเอ่ยต่อความใดๆทำให้ร่างสูงค่อยๆถอยห่างลืมเปลือกตาของตนขึ้นก่อนที่จะทอดมองคนในอ้อมแขนที่หลบดวงเนตรของตนไปอีกทางก่อนที่ริมฝีปากหนาของมิคาสึกิจะยกยิ้มออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
           

“ฮะๆมีอะไรงั้นหรือทสึรุมารุ
           

“ข้า….อยากจะถามอะไรเจ้าหน่อย
           

ดวงเนตรดั่งดอกเบญจมาศลากสายตามาทอดมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างจริงจังแน่นอนว่ามิคาสึกิก็กำลังใจจดจ่อที่จะฟังคำถามของร่างบางในอ้อมกอด เพราะตัวเขานั้นก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายนั้นใช้น้ำเสียงจริงจังเช่นนั้นเอ่ยคำถามใดๆให้เขาเคลือบแคลงใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
           

“เจ้า….รักข้าไหม
           


หลังจากคำถามนั้นดังขึ้นภายในห้องนอนที่มีเพียงทั้งสองคนที่กำลังมอบไออุ่นในฤดูเหมันต์เช่นนี้เงียบงันลง มีเพียงแค่เสียงหายของทั้งสองคนและไอเย็นจากการหายใจที่พลิ้วไหวไปตามอากาศดวงเนตรของทั้งสองสบเข้าไป หากแต่ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆจากคนที่กำลังโอบกอดร่างเล็กของทสึรุมารุจนในดวงฤทัยรู้สึกหวาดหวั่นกับความเงียบงันและคำตอบที่อีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ยทำให้ต้องเผลอไผลกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างอยากลำบาก ทว่าก่อนที่ตนจะได้พูดปัดๆไปเพราะความเขินอายเสียงหัวเราะประจำตัวอีกฝ่ายก็ดังออกมายิ่งเรียกใบหน้าแดงระเรื่อให้ร่างบาง
           

“จะ เจ้าขำอะไรน่ะ
           

“ฮะๆๆข้าขอโทษโอะเจ้าอย่าทุบข้าสิ
           

มือบางของทสึรุมารุ คุนินากะระดมทุบตีเข้าไปที่อกแกร่งของร่างสูงพร้อมกับพลิกตัวหันหน้าไปทางอื่นแทบจะทันทีแต่ก็โดนอ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นที่รักดึงเข้ามาสู่อ้อมอกอันแสนอบอุ่นของอีกฝ่ายอยู่ดีหลังบอบบางเปรียบเหมือนอิสตรีนั้นชนเข้ากับอกแกร่งของเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินที่ยังคงหัวเราะกับท่าทีของของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาได้น่ารักน่าชังยิ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตัวเองคงจะกลั่นแกล้งร่างเล็กมากเกินไปจึงเอ่ยออกมาข้างใบหูของอีกฝ่ายจนทำให้ใบหูนั่นขึ้นสีแดงกว่าเก่า

           
“รักสิ….ข้ารักเจ้ามากที่สุด….
           

ถึงแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรตอบกลับไปสู่ร่างสูงที่กำลังกอดกายของตนแน่นและฝั่งจมูกคมสันนั้นยังคงฝั่งอยู่บนเกศาสีขาวบริสุทธิ์เฉกเช่นกับเหล่าเหมันต์ที่กำลังร่ายรำโรยราอยู่ด้านนอกถึงแม้ว่าอากาศนอกเรือนจะสร้างความหนาวเหน็บในฤดูเหมันต์กาลเช่นนี้ หากว่าในกายกับรู้สึกอบอุ่นรวมไปถึงในฤทัยกับรู้สึกพองโตกับความรักที่อีกฝ่ายมอบให้จนเผลอยิ้มออกมาบนใบหน้ามือเรียวบางของทสึรุมารุเอื้อมขึ้นมาจับเข้าที่มือหนาของมิคาสึกิที่ตอนนี้ได้หลับใหลลงไปสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว มือบางซีดเซียวไร้ซึ้งสีเลือดใดๆของร่างบางค่อยๆลูบไปตามนิ้วมือของคนที่กำลังเข้าสู่ห่วงนิทราก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการปลุกหรือรบกวนร่างของอีกฝ่ายที่กำลังไม่รู้สึกตัว




….ข้าก็รักเจ้าเช่นกันนะ




春の訪れを
息吹の歓び さえずる鳥達と 歌う


ร่วมร้องขับขานเอ่ยกล่าวบทเพลง
ไปพร้อมๆกับเหล่านกน้อยที่ร้องยินดีต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ

           

….~~
           

วจีเสียงใสดังแว่วออกมาจากเรือนร่างสีขาวของทสึรุมารุประสานเสียงร้องขับขานทำนองราวกับระฆังแก้วพร้อมกับเหล่าปักษาน้อยๆราวกับว่ามันกำลังยินดีของการมาแห่งฤดูวสันต์ที่เหล่าบุปผชาติเริ่มแย้มบานส่งกลิ่นไออบอวลสดชื่นน่ารื่นรมย์จนต้องเผลอขับกล่อมท่วงทำนองออกมาในขณะที่กำลังสะบัดผ้าที่เพิ่งซักไปเมื่อสักครู่เพื่อยกขึ้นมาตากตามหน้าที่ของตนที่ต้องดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะชอบที่จะหาเรื่องน่าแปลกใจมาทำให้คนรักของตนที่จะต้องออกไปหาของป่าทุกวันแปลกใจเล่นก็ตามที
           

ผ้าผืนสุดท้ายที่ยกขึ้นไปตากเอาไว้ ณ ราวตากผ้าไม้ที่ถูกทำไว้ก่อนจะพาดผืนผ้าขาวใหญ่ลงไปเพื่อให้มันแห้งจากการที่ถูกเอาไปชำระซักรีดแต่ก่อนที่จะได้จัดแจงอะไรเสร็จร่างบางของทสึรุมารุก็ถูกฉุดล้มลงมาสู่อ้อมกอดของใครบางคนแทบจะทันทีจนดวงเนตรสีเบญจมาศงามงดเบิ่งโพล่งด้วยความตกใจ แต่เมื่อสายตาสามารถปรับตามการเคลื่อนไหวได้และสมองกลับมาประมวณผลอีกครั้งก็เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ
           

“มิคาสึกิ!! เจ้าเล่นอะไรของเจ้าเนี่ย
           

เสียงโวยวายของร่างขาวบริสุทธิ์ถูกปิดด้วยริมฝีปากของมิคาสึกิแทบจะทันที ลิ้นร้อนค่อยๆชอนไชไปตามโพลงปากของเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้เริ่มส่งเสียงครวญครางยั่วเยาให้เกิดตัณหาอีกครั้งครา ความหอมหวานที่ร่างสูงมอบให้ตนนั้นทำให้ทสึรุมารุแทบจะคุ้มสติไว้ให้อยู่กับกายาไม่อยู่ มันเหมือนกับการที่ได้ล่องลอยไปตามเหล่ามวลเมฆาทว่าไม่นานนักมือบางก็ต้องทุบตีอกแกร่งของชายหนุ่มที่กำลังปรนเปรอจุมพิตตนเพื่อประท้วงขออากาศได้หายใจ


「綺麗な声だね」と あなたが言った
ただそれが、その言葉が、嬉しくて


…’ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเสียจริง
เพียงแค่เอื้อนเอ่ยคำพูดนั้นออกมาเท่านั้นก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้า….



            “เพราะเหตุใดนะ….ทสึรุทั้งๆที่เป็นแค่เพียงบทเพลงธรรมดาแต่เมื่อเจ้าร้องออกมามันกลับไพเราะตราตรึงในหัวใจของข้าเหลือเกิน ฮะๆๆ


            เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระซิบข้างๆใบหูของร่างบางในอ้อมกอด ก่อนที่จะแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับจุมพิตเข้าไปที่พวงแก้มของทสึรุมารุฟอดใหญ่จนแก้มขาวเนียนนั่นขึ้นสีแดงระเรื่ออีกรอบก่อนที่จะลากดวงเนตรสีสวยมาสบตากับภาพฉายของนภายามราตรีของมิคาสึกิและพองแก้มขึ้นเหมือนเป็นการบ่งบอกว่าตนกำลังงอนกับการฉวยโอกาสของอีกฝ่าย..


            “กลับมาเร็วทำไมไม่บอกข้าก่อน….”ไม่ว่าเปล่ามือบางก็เอื้อมขึ้นไปบีบจมูกของร่างสูงจนดวงเนตรอันเป็นภาพฉายของท้องนภายามราตรีต้องปิดลงทันทีด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติก่อนเสียงร้องครางเบาๆในลำคอนั้นบ่งบอกถึงการที่ตนไม่สามารถหายใจได้สะดวกยิ่งเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของร่างบาง ณ ยามนี้จนคนที่โดนกลั่นแกล้งต้องลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนที่จะดึงมืออีกฝ่ายออกมาจมูกของตนและจูบเบาๆที่มือบางนั้นอย่างทนุทนอม


            “ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้าว่าข้าจะกลับเร็ว เพียงแต่ข้าเห็นเทพธิดามาร้องเพลงขับกล่อม ณ เรือนของข้าทำให้ข้าเผลอที่จะอยู่ฟังจนแม่เทพธิดานั้นร่ำร้องจบเจ้าหายโกรธข้าได้ไหม


            “เจ้าพูดบ้าอะไรเนี่ยมิคาสึกิ!!


            หลังจากได้ยินคำสดับที่เอ่ยข้างหูของชายหนุ่มผู้ที่กำลังโอบกายาของตนเอาไว้ ใบหน้าหวานของร่างบางก็ขึ้นสีหนักกว่าเก่าและเผลอไผลทุบเข้าไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นที่รักเต็มๆ แต่ใบหน้างามงดก็ได้ระบายรอยยิ้มออกมาปรากฏบนดวงหน้าขาวสวยของทสึรุมารุก่อนที่จะหัวเราะออกมากับท่าทางที่แสดงถึงเจ็บปวดของมิคาสึกิที่กอบกุมหน้าตัวเองเอาไว้เหตุเพราะโดนภรรยาแสนรักของตัวเองฟาดมือเข้ามาที่ใบหน้าของตัวเองอย่างจังจนทสึรุมารุต้องเข้าไปดูว่ามีแผลอะไรมากไหมในเวลาต่อมา


            ในยามบ่ายของฤดูวสันต์ดวงสุริยันนั้นฉายแสงไม่ค่อยแรงนักเหมาะแก่การที่จะมานั่งชมธรรมชาติและนั่งรับลมที่ชายเรือนเสียจริง ดวงเนตรสีเบญจมาศของทสึรุมารุทอดมองไปที่ไกลแสนไกลโดยที่บนตักบางของตนมีบุรุษเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินเข้มงามและยังเป็นคนที่กุมดวงฤทัยของตนเอาไว้กำลังนอนอิงศีรษะลงบนตักของอีกฝ่ายโดยมีมือบางขาวซีดนั้นกำลังลูบไล้ไปตามเกศาที่สยายบนตักของตนอย่างเพลินมือบางครั้งที่มือบางนั้นลูบผ่านก็มีแรงกดขยี้ให้เกศาสีงามแปลกตานั้นต้องยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ว่าเจ้าตัวที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยดุว่าอะไรเพียงแค่มีเสียงหัวเราะออกมาเบาๆให้ดวงฤทับชุ่มชื่นไปดวงกลิ่นไอของความรัก


          ….อาช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน


            ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองก่อนที่มือบางที่กำลังลูบไล้ไปตามเกศางามงดของร่างสูงก็หยุดชะงักก่อนที่ดวงเนตรนั้นทอดมองไปที่ไกลแสนไกลก็ลากสายตามายังคนที่กำลังนอนอยู่บนตักของตนนัยน์ตาสีงามมีอารมณ์วูบไหวไปมาพยายามสะกดกลั้นมิให้หยาดหยดธาราร่วงหล่นลงมากระทบใบหน้าของมิคาสึกิที่นอนอยู่….ไม่อยากให้เวลานั้นเดินต่อไปเลย ความคิดแปลกประหลาดยิ่งเพิ่มความโศกาให้กับเจ้าของร่างสีขาวก่อนที่สมองจะได้สั่งงานเหมือนดวงใจมันควบคุมบังคับเหนือหลักเหตุผล เสียงหวานใสก็ได้เอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัว



「いつか、綺麗な声が出なくなっても、
それでも、私を愛してくれますか?」


...’ถ้าหากวันใดเสียงของข้ามิได้ไพเราะเช่นเดิมแล้ว
เจ้าจะยังรักข้าเหมือนเดิมอยู่ไหม’….

           

“มิคาสึกิ”เสียงเบาบางจากร่างที่กำลังหนุนนอนเอ่ยออกมาเสียงแหบพร่าทำให้ดวงเนตรอันเป็นภาพฉายแห่งท้องนภายามราตรีต้องลืมตาขึ้นมาทอดมองคนที่อยู่เหนือกว่าตนก่อนที่จะระบายรอยยิ้มและกอบกุมมือบางนั้นเอาไว้


            “มีอะไรหรือ….


            ดอกเบญจมาศแสนงามพริ้วไหวไปมาอย่างลังเลที่จะเอ่ยถามคำถามยิ่งทำให้เสียงดวงฤทัยของทั้งสองเต้นรัวแรงกว่าเก่า มือบางที่โดนอีกฝ่าบกอบกุมยิ่งเพิ่มแรงกุมมือของมิคาสึกิจนกลายเป็นแรงบีบเบาๆก่อนที่เกศาสีขาวราวเหมันต์ของฤดูหนาวจะถูกปรกลงมาจนไม่สามารถเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังตีสีหน้าเช่นไร ยิ่งทำให้มิคาสึกิงงงัวกับท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่ายจนต้องยันกายขึ้นมาหากในจังหวะนั้นร่างของทสึรุมารุก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายแทบจะทันทีทำให้ร่างสูงเกือบตั้งหลักรับคนตัวบางแทบจะไม่ทันก่อนเสียงหัวเราะน้อยๆของทสึรุมารุก็ดังออกมาให้ได้ยินก่อนที่คำถามต่อมาจะเอ่ยให้อีกเขาได้โต้ตอบ


            “เจ้าชอบเวลาข้าร้องเพลงงั้นหรือ….


            น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ราวเด็กน้อย ดวงเนตรที่ฉายแววขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็นนั้นยิ่งสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาของมิคาสึกิอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะลูบไล้ไปตามเรือนเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของร่างขาวบางตรงหน้าตนอย่างทะนุทนอมเรียกเสียงครางหวานอย่างเคลิบเคลิ้มเช่นลูกแมวน้อยก่อนที่มือหนาจะเชยคางมนของอีกฝ่ายขึ้นมาและประทับจุมพิตบนริมฝีปากบางเบาๆและเอ่ยตอบ


            “ใช่ข้าชอบ….


            ดวงเนตรสีเบญจมาศงามงดสั่นระริกก่อนที่จะโน้มใบหน้าของตนซุกไปที่ไหล่กว้างของคนรักของตนก่อนที่จะโอบรัดร่างสูงเข้ามาหาตนให้รับรู้ถึงไออุ่นในกายของตนที่มันยิ่งเพิ่มอุณหภูมิให้ใบหน้ายิ่งร้อนเข้าไปใหญ่หยาดหยดธาราเริ่มไหลไปทั่วขอบดวงเนตรเหมือนมันจะค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาของตนอยู่ แต่ทว่าทสึรุมารุจำต้องพยายามสะกดไม่ให้มันไหลออกมาจากดวงตาของตนและพยายามสะกดมิให้เสียงที่สั่นระริกของตนดังไปสู่อีกฝ่าย


            “ถ้าหากว่าวันใดเสียงของข้ามิได้ไพเราะไม่สิ….”ดวงเนตรเริ่มสั่นระรัวก่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นที่รักและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือยิ่งทำให้ดวงเนตรของมิคาสึกิเบิ่งโตขึ้นกับท่าทีของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาให้เขาเห็น


           


            “ถ้าหากว่าเสียงของข้าไม่ได้งดงามเช่นเดิมไม่มีแม้เพียงเสียงที่จะเอื้อนเอ่ยเรียกชื่อของเจ้าถึงกระนั้นเจ้าจะยังคงรักข้าคนนี้อยู่หรือไม่….เจ้าจะยังรักทสึรุมารุ คุนินากะคนนี้คนเดิมหรือไม่


            ร่างบางของทสึรุมารุสั่นเทาใบหน้างามเริ่มมีหยาดน้ำตาไหลลงมาสู่ใบหน้าทำเอามิคาสึกิอึ้งเงียบงันก่อนที่จะระบายรอยยิ้มออกมาเช่นเดิมแล้วใช้ปลายนิ้วของตนปาดหยาดหยดธาราสีใสออกจากพวงแก้มของอีกฝ่ายอย่างเบามือก่อนจะจูบซับเหล่าธารานั้นออกไปก่อนที่จะโอบกอดร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาราวลูกนกอย่างเบามือและกระซิบไปที่ข้างหูอีกครั้งเหมือนเป็นการปลอบประโลมให้อีกฝ่ายวางใจ..


วางใจว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยร่างนี้ออกไปจากอ้อมกอดนี้เด็ดขาด



「当たり前だよ」って 優しく笑い
そっと 大きな手が頬を撫でた


…’แน่นอนว่าต้องรักอยู่แล้ว เจ้าเอ่ยออกมาพร้อมคลี่ยิ้มบาง
และค่อยๆไล้ฝ่ามือเลื่อนมือใหญ่มาปาดหยดน้ำตาที่กำลังไหลหลั่งริน



            “ความรักของข้าจะคงอยู่นิรันดร์และข้าจะขอยืนยันคำเดิมตั้งแต่แรกพบที่ข้าเจอเจ้า….ข้ารักเจ้าเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง “            


            ไม่ว่าเปล่าพร้อมกุมมือบางนั้นเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองตนก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งคนรักของตนไปเด็ดขาดไม่มีวันที่จะปล่อยให้มือนี้เหน็บหนาวเด็ดขาดก่อนที่จะโน้มใบหน้าไปจุมพิตที่หน้าผากมนของทสึรุมารุและดึงอีกฝ่ายมาสู่อ้อมอกสัมผัสให้รู้ถึงเสียงของดวงฤทัยที่กำลังเต้นอยู่ในกายเพื่อบอกว่าดวงใจนี้จะเป็นของอีกฝ่ายตลอดไปตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด


            “มิคาสึกิ


            “สึรุ….เจ้าได้ยินไหมเสียงหัวใจของข้าน่ะ


            “….


            “ไม่ว่าจะทุกการเต้นของมันไม่ว่าจะทุกลมหายใจมันกำลังพร่ำบอกว่าข้านั้นรักเจ้ามากและจะรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเลยนะ ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไปข้าให้สัญญา”  


            ร่างบางเงียบงันก่อนที่จะเอียงหูของตนไปที่อกแกร่งข้างซ้ายของเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นนี่ก่อนที่ใบหน้าจะแดงระเรื่อขึ้นเพราะเสียงหัวใจที่ดังสะท้อนดังก้องตราตรึงออกมาในโสตประสาทนั้นเสียงหัวใจที่เต้นนั้นยิ่งทำให้ทสึรุมารุไม่อยากจะมองหน้าไม่อยากจะสบตาของมิคาสึกิเลยเพราะความเขินอายมากถึงมากที่สุด แต่เหตุใดกันนะในดวงฤทัยรู้สึกพองโตเข้าไปใหญ่กับคำยืนยันและเสียงกระซิบที่พร่ำบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งตนไปเด็ดขาดพอคิดแล้วยิ่งต้องระบายรอยยิ้มออกมาบนดวงหน้าพร้อมหยาดน้ำตาที่ค่อยๆหลั่งริน


            “ขอบคุณนะ



อาพระผู้เป็นเจ้าข้าอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้เสียจริง




青葉照る 夏の午後
あなたが病に倒れた
貧しい夫婦暮らしでは
あなたを治す薬は 買えない


บ่ายวันหนึ่งในฤดูคิมหันต์ แมกไม้ทอประกายสีเขียวขจี
ยามนั้นเจ้าได้ล้มป่วยเพราะโรคร้ายที่รุมเล้า
หากแต่คู่สามีภรรยาจนๆเช่นพวกเราจะหาเงินมาซื้อยาให้เจ้าได้อย่างไร….



            “อาแดดร้อนจัง


            เสียงเอ่ยบ่นเรื่อยๆของร่างบางที่กำลังวางเมล็ดพืชลงบนพื้นดินที่ทำการพรวนเอาไว้เพื่อรอให้เจ้าตัวหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปและรอสำหรับฤดูฝนที่ใกล้จะเข้ามาช่างเหมาะกับการเพาะปลูกเพื่อหาเงินไปเลี้ยงชีพต่อไปถึงแม้ว่าหน้าที่นี้จะเป็นของมิคาสึกิที่ต้องมาทำงานออกแดดเช่นนี้ แต่ว่าในยามที่เขาไม่มีอะไรทำร่างบางก็เสนอให้เขาไปช่วยผู้เป็นสามีทำมาหากินไม่สิต้องบอกว่าหาข้ออ้างหนีออกจากบ้านแก้เบื่อเสียมากกว่า


            “ฮะๆข้าก็บอกเจ้าแล้วนะว่าอากาศมันร้อน”ร่างสูงเอ่ยก่อนที่จะเดินเอาผ้าขนหนูสีฟ้าอันพาดบ่าของตนเอาไว้มาปกคลุมเรือนเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของร่างบางที่ทำหน้างงงัวแต่ก็จับผ้านั้นเอาไว้มาผูกคลุมหัวของตนให้พ้นจากแสงสุริยันที่ฉายแสงแรงกล้าออกมาก่อนจะแย้มยิ้มออกมา


            “ขอบใจเจ้านะอืมยังมีกลิ่นของมิคาสึกิอยู่เลย”ไม่ว่าเปล่าแกล้งดอมดมผ้าที่คลุมศีรษะของตนเป็นการกลั้นแกล้งให้ใบหน้าหล่อเหลาของมิคาสึกิต้องแดงระเรื่ออีกครา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ก็เมื่อมือหนาของอีกฝ่ายนั้นจับเข้าที่ใบหน้าขาวเรียวของตนก่อนที่จะมอบจุมพิตลงบนริมฝีปากตอนที่ทสึรุมารุไม่ได้ตั้งตัวและเอ่ยเสียงบางเบาข้างๆหูของร่างบางที่ตอนนี้ยืนแข็งเป็นไม้กระดานไปเสียแล้วยิ่งทำเช่นนั้นมันยิ่งสะกิดต่อมความกลั้นแกล้งที่ปกปิดมานานของมิคาสึกิให้ตื่นขึ้นอีกคราจริงๆ..


            “ถ้าอยากจะดอมดมกลิ่นกายของข้า เดี๋ยวกลับไปข้าจะให้เจ้าได้เสพสมใจอยากเลยล่ะ ฮะๆๆ


            “มิคาสึกิ!!


            กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นก่อนที่จะทุบเข้าที่อกแกร่งของอีกฝ่ายที่หัวเราะระรัวเพราะได้กลั้นแกล้งคนที่ชอบแกล้งเขาตลอดเวลาเช่นนี้มันช่างมีความสุขเสียจนลืมความร้อนที่ล่องลอยอยู่ ณ มวลนภาเลย เมื่อกลั้นแกล้งร่างบางได้สมใจอยากแล้วร่างสูงของมิคาสึกิก็กลับไปหยิบจอบที่ตั้งเอาไว้มาและเริ่มขุดดินอีกครั้งตามหน้าที่ของตนพอเห็นเช่นนั้นร่างบางก็เริ่มลงมือหว่านเมล็ดพืชต่อจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้เพราะถึงแม้จะมีผ้าจากร่างสูงที่ช่วยกรีดกันมิให้แสงสุริยันแผดเผาผิวกายขาวเนียนของตนและยิ่งเป็นห่วงสุขภาพของชายหนุ่มที่ไร้ซึ่งสิ่งใดกรีดกันแสงแดดอีก


            “แค่กๆ….


            โครม!!!


            เสียงไอหอบอย่างรุนแรงพร้อมกับแววเสียงของวัตถุที่ล้มลงไปทำให้ร่างบางต้องสะดุ้งก่อนจะค่อยๆหันไปทอดมองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วดวงฤทัยก็แทบจะสูญสลายไปเมื่อร่างของมิคาสึกินั้นล้มลงไปนอนกับพื้นดินพร้อมกับหยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากริมฝีปากชโลมเต็มไปทั่วมือหนาของอีกฝ่าย ร่างบางรีบโยนตะกร้าเมล็ดพันธุ์ที่ตนถือเอาไว้อยู่ก่อนจะเข้าไปพยุงร่างสูงของผู้เป็นที่รักขึ้นมาก่อนจะพยายามกรีดร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายสุดเสียง


            “มิคาสึกิ!! มิคาสึกิ!! เจ้าเป็นอะไร!! มิคาสึกิได้ยินเสียงของข้าไหม!!


            ทสึรุมารุกรีดร้องออกมาก่อนจะเขย่าตัวของร่างสูงที่หมดสตินอนแน่นิ่งราวคนตายจากหยาดพิรุธค่อยๆรินไหลออกมาทั้งๆที่เมื่อครู่แสงสุริยันนั้นเพิ่งฉายแสงแรงกล้าชำระล้างกลิ่นไอของหยาดโลหิตและมันยังกลบหยาดธาราที่ไหลออกมาจากบุปผชาติแสนงามที่สั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัวว่าคนรักของตนจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะจากจรไปและไม่มีวันหวนมา


            กลัวว่าจะต้องเสียเขาไป


            เป็นไปโดยยากเสียจริงที่จะต้องแบกห่ามร่างของอีกฝ่ายถึงแม้ว่าส่วนสูงของตนจะไม่ได้ห่างอะไรจากมิคาสึกิมากนัก แต่ว่ายอมรับเลยว่ามัดกล้ามเนื้อและสรีระของร่างสูงนั้นสมชายมากกว่าตนเสียอีกยิ่งสายพิรุธที่สาดเทลงมารวมไปถึงหยาดหยดน้ำตาที่ทำให้ดวงเนตรพร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกแล้วทำให้การแบกร่างสูงเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินที่ยังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมาเป็นไปได้ยากยิ่ง


            สายพิรุธเทกระหน่ำลงมาไม่หยุด ในดวงฤทัยของเจ้าของเรือนร่างขาวสว่างนั้นร้อนรุมยิ่งกว่าโดนเพลิงนรกแผดเผา ความหวาดกลัวเกาะกุมในจิตใจภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงหวานยังคงกรีดร้องเรียกชื่อของคนที่ตนกำลังแบกอยู่ไม่หยุดปากแข่งกับเสียงของสายธาราที่รินไหลออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อพาร่างสูงมาถึงเรือนของตนก็เรียบค้นหาเสื้อผ้าที่อบอุ่นเปลี่ยนให้คนที่ยังคงไม่ได้สติ แต่หยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากการไอนั้นยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสมองของร่างบางขาวโพลนไปหมดไม่รู้ควรจะทำอะไรต่อดี ก็ได้แต่เปลี่ยนเสื้อผ้าของอีกฝ่ายก่อนจะรีบวิ่งลงมายังตัวหมู่บ้านเพื่อไปหาหมอยาที่เป็นเพื่อนเก่าแก่ของมิคาสึกิ


            เพราะความเร่งรีบนั้นทำให้เจ้าตัวลืมที่จะหยิบร่มติดไม้ติดมือมาจนทำให้ร่างกายของทสึรุมารุถูกชโลมไปด้วยหยาดพิรุธที่ไหลลงมา แต่สิ่งที่เขาหวาดหวั่นและทำให้ขาเรียวต้องเร่งฝีเท้าวิ่งลงไปด้วยความเร่งรีบเพราะหวาดกลัวว่ามันจะไม่ทันเวลา….หวาดกลัวจนเรียวขานั้นสั่นเทาทำให้ก้าวสะดุดลงไปนอนล้มกลิ้งเปรอะเปื้อนตามสายโคลนที่ราดยาวจนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตนสวมใส่นั้นเต็มไปด้วยสีน้ำตาลของโคลนสกปรกหากแต่เมื่อสติกลับเข้ามาหาตัวทำให้ร่างบางยันกายของตนลุกขึ้นได้ก็ยังคงออกตัววิ่งเข้าไปตามทางเพื่อไปยังบ้านของ หมอยาที่ตนรู้จักเพื่อข้อความช่วยเหลืออย่างเร่งรีบ


            ปังๆๆ!!!!!


            “อิชิคิริมารุ!!! อิชิคิริมารุ!!! เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่!!!!


             มือเรียวบางทุบตีประตูพร้อมตะโกนก้องเพื่อให้คนในบ้านเปิดมาต้อนรับหากแต่ไร้ซึ่งสิ่งใดๆจนร่างบางจำต้องทุบเข้าไปที่ประตูอีกหลายๆครั้งๆจนในที่สุดประตูไม้บานเล็กก็ถูกเปิดกระชากออกเผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดสีเขียวที่ทำหน้าตาแตกตื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของแขกที่มาเยือนและยังท่าทีรีบร้อนนั้นอีกทำให้อิชิคิริมารุผู้เป็นถึงหมอยาคนเก่งประจำหมู่บ้านจำต้องปลอบประโลมเจ้าของร่างขาวบางที่บัดนี้เหมือนสติแตกไปแล้ว


            “อิชิคิริมารุ ช่วยด้วย!! ช่วยมิคาสึกิด้วย!! ได้โปรดช่วยเขาด้วย!!!


            “ใจเย็นๆก่อนทสึรุมารุมิคาสึกิเป็นอะไร แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ล่ะ!!


            เมื่อดวงเนตรสีเบญจมาศเห็นร่างสูงของอิชิคิริมารุก็พุ่งเข้าไปเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนที่จะพยายามลากตัวของอีกคนออกมาจากบ้านทั้งๆที่สายพิรุธกำลังสาดเทลงมาโหมกระหน่ำ ดูอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยแน่นอนหากว่าต้องออกเดินไปตอนนี้ในสภาพของชุดลำลองของตนแต่ดูท่าทีของร่างบอบบางที่เปียกโชกไปด้วยสายพิรุธแล้วยังสภาพสะบัดสะบอมราวกับคนไปกลิ้งกับโคลนมาหลายๆรอบพร้อมกับเรียวขาที่มีหยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากชายฮากามะที่ขาดออกเล็กน้อยนั้นอีกบ่งบอกได้เลยว่ามันจะต้องมีเหตุร้ายอะไรแน่นอนที่ทำให้คนขี้เล่นและใจเย็นอย่างทสึรุมารุนั้นสติแตกได้ถึงขนาดนี้


            “มิคาสึกิมิคาสึกิเขาเป็นอะไรไม่รู้!! ฮึกขอร้องล่ะอิชิคิริมารุ! ช่วยไปตรวจดูให้ทีขอร้องล่ะ


            “ทสึรุมารุ คุนินากะ!!! เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ!!


            เสียงแผดร้องสบถคำพูดออกมาเสียงแข็งปนเปไปกับความตกใจที่อีกฝ่ายได้ทำต่อหน้าของเขาร่างขาวบางของทสึรุมารุล้มลงไปคุกเข่าลงและก้มลงราวกับกราบกรานเขาก่อนที่จะหลั่งรินน้ำตาออกมาพร้อมกับเอ่ยเสียงที่ฟังแล้วเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรเหมือนเป็นคนเสียสตินั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกลำบากใจจนต้องพยายามฉุดดึงให้ร่างบางลุกขึ้นมาคุยกันดีๆแต่ดูเหมือนว่าคุณหมอหนุ่มจะต้องใช้ความพยายามอย่างสูงกับการจับใจความในการเหล่าเรื่องของอีกฝ่ายอย่างมาก


            “เข้าใจแล้วข้าเข้าใจแล้วเจ้าปล่อยข้าก่อนนะทสึรุมารุข้าจะไปหยิบกล่องยาเจ้าใจเย็นๆก่อนนะ


            มือหนาของเขาบีบเข้าไปที่เรียวแขนของร่างบางเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยเขาก่อนเมื่อได้ยินคำสัญญาเช่นนั้นเจ้าของร่างเล็กก็ยอมที่จะปล่อยมือของอีกฝ่ายที่บัดนี้เดินไปหยิบกล่องยาขนาดปานกลางอันเป็นเครื่องมือของเหล่าแพทย์ที่พวกเขาจะเอาไว้ใช้รักษายามออกไปตรวจที่บ้านของคนไข้พร้อมกับอีกมือที่ถือร่มไม้สองคันแล้วยื่นไปหาร่างบางที่กำลังกอบกุมกายของตนด้วยความหนาวจากการตากฝนมานานแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่เหมือนจะเป็นห่วง


            “เจ้าเอาไปใช้เถอะหากว่าเจ้าป่วยอีกคน มิคาสึกิคงจะร้อนใจแน่แท้


            “ขอบคุณนะ


            เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่าจนแทบไม่เหลือความใสของน้ำเสียงเดิมจนอิชิคิริมารุต้องตกตะลึงงันกับเสียงของอีกฝ่ายที่แปลกไป แต่ก็ไม่แปลกใจมากนักเพราะจากการที่ต้องพร่ำเรียกตะโกนเรียกเขาและเอ่ยนามเรียกสติของมิคาสึกิแถมยังวิ่งฝ่าสายพิรุธมาหาตัวเขาที่อยู่เชิงเขาที่ห่างไกลจากตัวบ้านของอีกฝ่ายหลายหลาอยู่เช่นกันไม่แปลกใจเลยที่เสียงของอีกฝ่ายจะแหบแห้งหายไป


            เป็นเวลาไม่นานมากนักที่ร่างบางของทสึรุมารุพาหมอหนุ่มมายังบ้านของตนแต่แล้วดวงเนตรทั้งสองคู่ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏเมื่อห็นร่างของชายหนุ่มเรือนเกศาสีไพรินงามอันเป็นคนรักของตนล้มไปนอนกับพื้นทั่วทั่งใบหน้าและมือหนาเต็มไปด้วยหยาดโลหิตกำลังนอนหอบหายใจโรยรินนั้นยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับทสึรุมารุที่เพิ่งได้เข้ามาในบ้านได้สภาพที่เปียกโชก ร่มไม้ในมือถูกขว้างทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก่อนที่จะเข้าไปพยุงกายของมิคาสึกิที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆด้วยความรีบร้อน เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกขานนามของผู้เป็นที่รักพร้อมหยาดหยดน้ำตาที่มันไหลหลั่งออกมาจากดวงเนตรจนขอบเบญจมาศเริ่มช้ำออกมานั้นยิ่งเรียกความตกใจให้ร่างสูงของอิชิคิริมารุจนต้องเข้าไปช่วยพยุงร่างของมิคาสึกิไปนอนที่ฟูกดีๆแล้วบอกให้ทสึรุมารุไปต้มน้ำเพื่อนำมาใช้กับการรักษา


            แต่ดูเหมือนสติของอีกฝ่ายจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย




明くる日も 明くる日も
ただ、ひたすらに機を織る
儚き紅葉の葉のように
あなたの命を、散らせはしない


วันแล้ววันเล่า หรือแม้ในวันต่อๆไป
ข้าก็ได้เพียงแต่นั่งทอผ้าผืนงามโดยที่ไม่เคยได้หยุดพัก
ข้าจะไม่มีวันยอมปล่อยให้ชีวิตของเจ้าต้องโรยราไป
ดุจเช่นดั่งใบเมเปิ้ลที่รอวันร่วงโรยเด็ดขาด


            
            “เขาเป็นโรคร้ายแย่หน่อยนะถึงแม้จะมีทางรักษาแต่ค่ายาที่ใช้ในการรักษามันก็แพงมากเลยด้วยสิข้าขอโทษจริงๆนะที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย

      
           เสียงเอ่ยบอกของหมอหนุ่มอิชิคิริมารุเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบากโดยที่มีเพียงใบหน้าอึ้งงันของทสึรุมารุที่ทอดมองไปด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับดวงฤทัยกำลังสูญสลายไปอย่างช้าๆไม่มีแม้เพียงเสียงเอื้อนเอ่ยใดไร้ซึ่งหยดน้ำตาใดๆไหลลงมาสู่ดวงเนตรนั้นอีกแล้วนั้นยิ่งทำให้หมอหนุ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรสั้นๆ เพียงแต่ร่างบางที่ลุกขึ้นแล้วก้มลงต่อหน้าเขาก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่เขาจำต้องเงียบงัน


            “ข้าเข้าใจแล้วท่านต้องการค่าใช้จ่ายในการรักษาเท่าไหร่….ข้าพร้อมข้าพร้อมที่จะจ่ายมันให้ท่าน


            ดวงเนตรที่มุ่งมั่นนั้นฉายแววออกมาอย่างจริงจังจนอิชิคิริมารุจำต้องถอดถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยื่นห่อยาห่อเล็กๆห่อหนึ่งไปให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้ได้เพียงทำหน้างงงวยกับเจ้าห่อยาเล็กๆนั้นก่อนที่จะพยักหน้าเข้าใจเมื่อตัวเขาเอ่ยอธิบาย


            “นั้นคือยาที่จะทำให้อากาศของมิคาสึกิทุเลาลงตัวยาของมันทำมาจากสมุนไพรหายากที่ขึ้นทางทิศบูรพามันจึงมีราคาแพงมากข้าอยากจะช่วยเจ้านะทสึรุมารุ แต่ว่าแต่สถานะของพวกเราทั้งสองหรือแม้แต่ทรัพย์สมบัติใดๆคงไม่พอที่จะนำมารักษามิคาสึกิหรอก


            “ท่านกำลังบอกให้ข้าตัดใจงั้นหรือ”ดวงหน้าของหมอหนุ่มเหม่อมองอีกฝ่ายด้วยดวงเนตรว่างเปล่าเขารู้ว่าสิ่งที่ตนเอ่ยนั้นยากยิ่งนัก แต่โรคร้ายที่กำลังกอบกุมชีวิตของร่างสูงผู้เป็นคนรักของอีกฝ่ายนั้นเป็นโรคร้ายที่จำต้องใช้ยาชั้นดีที่มีราคาแพงมารักษาและห่อยาเล็กๆนั้นก็เป็นเพียงตัวยาตัวเดียวที่เขาใช้เงินทุนของตนเพียงเล็กน้อยที่สะสมมาทั้งชีวิตเก็บเอาไว้มอบให้อีกฝ่ายไปฟรีๆ ทว่าปริมาณเท่านั้นมันก็ช่วยได้แค่ทุเลาลงมิได้ช่วยให้อาการที่เป็นอยู่มันหายไปหรอก


            “นั้นคือสิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าทำใจ


            “ไม่มีวัน….!!


            เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ดวงเนตรสีเบญจมาศงามที่มีหยาดธาราไหลออกมานั้นแห้งเหือดไปเสียแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่จะรักษาอาการป่วยของคนรักของตนให้หายไปเท่านั้นก่อนที่จะหยิบห่อยานั้นเข้าแขนเสื้อแล้วเอ่ยบอกต่อให้หมอหนุ่มไว้วางใจว่าตนจะต้องเอาเงินมาจ่ายค่ายาให้ได้ และค่าหมอของอีกฝ่ายด้วยแต่ขอให้เขานั้นช่วยรักษาอาการของมิคาสึกิต่อเถอะไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่เขาก็พร้อมที่จะหามาให้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม


            เมื่อเอ่ยลาและส่งท่านหมออิชิคิริมารุกลับบ้านที่อยู่เชิงเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วทสึรุมารุก็เดินตรงไปยังห้องของตนที่มีเครื่องทอผ้าไม้แสนรักอันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานมือบางลูบไล้ไปตามตัวไม้ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ ดวงเนตรวูบไหวไปตามแรงอารมณ์แต่บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต้องลังเลเรื่องอันใดอีกแล้วสมองของร่างบางคิดเพียงแค่จะต้องหาเงินมารักษาอาการป่วยของมิคาสึกิให้ได้ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตามเมื่อคิดได้เช่นนั้นมือเรียวยาวก็เริ่มบรรจงทักทอผ้าออกมา


            “ข้าไม่มีวันยอมหรอก….ไม่ยอมให้เรื่องของพวกเราสองคนจบลงเพียงแค่นี้


            กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้งพร้อมหยาดธาราที่เริ่มไหลริน ความเจ็บปวดที่นิ้วมือเมื่อเส้นด้ายสาดปาดเข้าไปจนเกิดหยาดโลหิตที่ไหลลงมาเป็นสายสีแดงแห่งหยาดโลหิตนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้เลยเพราะตอนนี้หัวสมองของทสึรุมารุมีเพียงแค่ต้อนั่งทอผ้าต่อไปเพื่อเอาไปแลกเป็นเงินมาซื้อยาเพื่อยื้อชีวิตของอีกฝ่ายให้มีลมหายใจกลับมายืนเคียงข้างเขาให้ได้อีกครั้ง



            “ข้าจะไม่ยอมให้ชีวิตของเจาต้องโรยสลายเหมือนเช่นใบไม้เหล่านั้นหรอกนะ,,,,มิคาสึกิ


            ทำได้เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยดวงฤทัยที่เริ่มแตกร้าว
           


季節は流れて
夏の終わりを告げる鈴虫が リン、と鳴く


เมื่อฤดูกาลได้เปลี่ยนแปรผันไป
เหล่าจิ้งหรีดกรีดเสียงเรไร เป็นการบ่งบอกว่าหมดสิ้นฤดูร้อนแล้ว
         


            “เจ้าต้องกินยานะมิคาสึกิ! นี่ตื่นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!


            เสียงโวยวายปนขำเบาๆเอ่ยออกมาจากร่างของทสึรุมารุที่กำลังพยายามปลุกให้ร่างสูงของมิคาสึกิตื่นขึ้นมากินยาโดยดีหลังที่เจ้าของเรือนเกศาสีไพรินงามนั้นล้มป่วยลงทสึรุมารุก็แทบจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างและยังต้องมาคอยดูแลอาการของผู้เป็นคนรักที่ไม่อาจจะเดินไปไหนได้คนเดียวเพราะเรี่ยวแรงนั้นได้เหือดหายไปหมดสิ้น แถมเมื่อยามราตรีอีกฝ่ายจะต้องนั่งทอผ้าเพื่อที่จะเอาเงินไปซื้อยามารักษาร่างสูงอีกถึงแม้ว่าบางครั้งท่านหมออิชิคิริมารุจะมอบยาให้เองฟรีๆแต่ก็ไม่สามารถจะช่วยให้มิคาสึกิหายดีได้เลย ทว่าคนที่ป่วยน่าจะทำตัวดีๆเพื่อไม่ให้ตนต้องมานั่งเครียดเพิ่มเติมอย่างการจะทำอย่างไรเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่สวมคราบเป็นเด็กดื้อยาเช่นนี้….


            “ฮะๆกินยาอีกแล้วเหรอ


            เสียงทุ้มแหบของมิคาสึกิเอ่ยก่อนจะมุดตัวเข้าไปในฟูกนอนอีกครั้งถึงแม้ว่ามันจะดูน่าเอ็นดู แต่ตอนนี้เริ่มจะสร้างความหงุดหงิดในกับร่างบางเสียแล้วทำให้เรือนร่างขาวบางของทสึรุมารุจำต้องฉุดกระชากตัวของมิคาสึกิให้ลุกขึ้นนั่งดีๆก่อนที่จะยื่นแก้วยาที่ถูกต้มร้อนๆเอาไว้ให้อีกฝ่ายและพยายามฝืนบังคับให้อีกคนกิน


            “อย่าทำเป็นเด็กดื้อยานะมิคาสึกิ! เจ้าต้องกินไม่งั้นจะหายได้อย่างไรล่ะ


            “ฮะๆบางครั้งข้าก็อยากจะเป็นเด็กน้อยอ้อนเจ้าเหมือนกันนะ”ไม่ว่าเปล่าพร้อมกับฉวยโอกาสจับมือบางที่เต็มไปด้วยลอยแผลช้ำจากการที่ทอผ้าติดกันเป็นเวลาหลายวันทำให้ได้แผลมากมายเช่นนี้ยิ่งมองมันยิ่งรู้สึกเจ็บเข้าไปในทรวงอกหากแต่มิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปทั้งนั้น แต่ความรู้สึกชินชาที่เกาะกุมบนดวงใจนี่คืออะไรกันนะก่อนที่ทสึรุมารุจะเอ่ยอะไรออกมาดวงเนตรอันเป็นภาพฉายแห่งท้องนภายามราตรีก็ลากเลื่อนมาสบเข้าที่นัยน์ตาของอีกคนแล้วลูบนิ้วมือบางนั้นอย่างทะนุทนอมเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บแผล



「綺麗な指だね」と 傷だらけの手を握る、その手が
あまりにも冷たくて・・・


…’นิ้วของเจ้าช่างงดงามเหลือเกิน
เจ้ากุมมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของข้าเอาไว้
น่าใจหายเสียจริงเมื่อรับรู้ได้ว่ามือของเจ้าช่างเย็นยะเยือก….



            “นิ้วมือของเจ้าที่คอยมอบไออุ่นนี่ช่างงดงามเหมือนในวันวานเลยนะฮะๆ


            เสียงนุ่มเอ่ยเบาๆราวกับให้มันกลืนกินไปสายลมที่โบกพัดร่างบางทอดมองมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนและมือหนาของอีกฝ่ายที่กำลังลูบไปตามปลายนิ้วของตนอย่างเบามือเพื่อเป็นการไม่ให้เขาเจ็บแผลไปมากกว่านี้เพียงแต่สิ่งที่น่าใจหายมากที่สุดคือปลายนิ้วที่สัมผัสเข้าไปที่บาดแผลของตนนั้นมันช่างเย็นเหลือเกินเย็นยะเยือกจนน่าตกใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มีอุณหภูมิที่หนาวเหน็บเช่นนี้


            เหตุใดเจ้าถึงได้เย็นเฉียบเช่นซากศพเช่นนี้ล่ะ


            ทสึรุมารุค่อยๆเคลื่อนตัววางถ้วยยาที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มเสร็จไปโอบกอดร่างสูงจากด้านหลังก่อนที่จะเอาหน้าของตนซุกเข้าไปที่แผ่นหลังกว้างใหญ่นั้นอย่างเงียบงันตอนนี้ความรู้สึกในหัวนั้นตีกันยุ่งเหยิงไปหมดความหวาดกลัวค่อยๆเกาะกุมในดวงฤทัยของร่างบางไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกไป อยากจะหลับตาลงและหลับไปทั้งๆแบบนี้กับคนรักของตนแน่นอนว่านั้นเป็นไปไม่ได้


            …ต่อให้เฝ้าภาวนาสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่สามารถจะหยุดกาลเวลาเพียงเท่านั้นลงไปได้
           


「いつか綺麗な指がなくなっても、
それでも私を愛してくれますか?」


….’ถ้าหากวันใดไม่มีนิ้วมือเรียวงามเช่นนี้แล้ว
เช่นนั้นเจ้าจะยังคงมอบความรักให้กับข้าใช่หรือไม่



            ….ถ้าหากวันใดนิ้วของข้าไม่เหลือความสวยงามเช่นนี้….ไม่มีนิ้วมือเรียวบางเช่นนี้ไม่มีแม้มือจับกอบกุมมอบไออุ่นให้กับเจ้าแล้ว….”น้ำเสียงของร่างบางเริ่มสั่นระรัวไปพร้อมๆกับกายาที่หนาวเหน็บและสั่นสะท้าน ก่อนที่จะโอบกอดร่างสูงเอาไว้แนบกลางและโน้มใบหน้าฝั่งลงไป ณ แผนหลังของผู้ที่ตนยอมมอบทั้งดวงฤทัยให้ไปอย่างหมดใจและเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่น


            “ถึงกระนั้นเจ้ายังจะรักข้าอยู่หรือไม่….เจ้ายังจะรักข้าผู้ที่ไม่มีแม้อะไรเลยให้เจ้าหรือไม่


            “ทสึรุมารุ”มือแกร่งเลื่อนมาจับนิ้วมือบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงบีบเบาๆให้อีกฝ่ายเงยหน้ามาจนใจกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด



「当たり前だよ」って 咳き込みながら
痛む指を 大きな手が包んだ


…’ต้องรักแน่นอนอยู่แล้วท่านตอบพลางหอบไอ
แล้วค่อยๆกอบกุมมือที่บอบช้ำของข้าเอาไว้


“ใครว่าเจ้าไม่มีอะไร….อย่างน้อยๆต่อให้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปต่อให้ร่างของเจ้าจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไรก็ช่างต่อให้เจ้าไม่เหลืออะไรเลยข้าจะขอยืนยันคำเดิม”ยังไม่ว่าจบร่างสูงของมิคาสึกิค่อยๆหันมาหาตนที่กำลังหลั่งรินน้ำตาออกมาก่อนที่จะจูบซับไปที่หางดวงเนตรนั้นอย่างเบาๆแล้วแย้มยิ้มออกมาและจุมพิตลงบนหลังมือของอีกคนเบาๆ


            


            “ข้ารักเจ้าไม่มีวันใดที่ข้าไม่เคยหยุดรักเจ้าเพราะฉะนั้นไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจไปเลยนะ


            มอบไออุ่นโดยการโอบกอดและฉุดรั้งให้อีกฝ่ายมาซบอกแกร่งของตนก่อนที่จะใช้มือหนาเขี่ยไปตามเกศาที่ปกปิดใบหน้างามงดของอีกคนถึงแม้เขาจะรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานก็ไม่สามารถที่จะมอบไออุ่นนี่ให้กับอีกฝ่ายได้แล้ว แต่อย่างน้อยๆในช่วงเวลาที่สามารถปลอบประโลมให้อีกฝ่ายไม่ต้องหลั่งรินสายธาราใดๆออกมาจากดวงเนตร เพียงเท่านั้นเขาก็รู้สึกยินดีเหลือเกินแล้ว


            “ข้าเอง….ก็รักเจ้านะ


          โอบกอดไออุ่นนี่เอาไว้พร้อมกับดวงฤทัยที่ค่อยๆแตกสลายลงไปเรื่อยๆ


昼も夜も 機を織り続けて
――嗚呼 落日の風――

ขยับกี่ทอผ้า ทั้งราตรีหรือทิวามิได้หยุดพัก
--อา สายลมอาทิตย์อัสดง--



早く早く、薬を買わなければ・・・

ต้องรีบ ต้องเร่งรีบไปซื้อยาก่อนที่จะไม่ทันเวลา



――無情に朽ちていく実の――

--ค่อยๆโบกพัดดับแสงชีวิตลงไป--



もう少し、あと少し、紅葉が散る前に

อีกเพียงนิดเดียว ขออีกแค่นิดเดียว เพื่อที่จะให้ทันท่วงเวลา



――灯火を揺らし 落とす――

--โบกสะบัดตัวของข้า ให้ร่วงโรยดั่งใบไม้--


この指が止まるまで・・・ この羽が、尽きるまで・・・

ต่อให้นิ้วนี้จะแหลกสลาย ต่อให้ไร้ซึ่งแม้กระทั้งคนปีกแล้วก็ตาม….




「いつか、私がヒトじゃなくなっても、
あなたは、私を愛してくれますか?」
怖くて真実は告げられぬまま
そっと ひとり、最後の羽を折り・・・


…’ถ้าหากวันใดท่านรู้ถึงความลับว่าตัวข้าไม่ใช่มนุษย์
เช่นนั้นแล้วเจ้าจะยังคงมอบความรักนั้นให้กับข้าอยู่รึเปล่านะ’…
เพราะหวาดกลัวว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงจนไม่กล้าเอ่ยความจริง
จึงค่อยๆดึงขนปีกเส้นสุดท้ายออกมา



           “มิคาสึกิ....


            เสียงเอ่ยออกมาช่างอ่อนแรงเสียเหลือเกินก่อนที่ดวงหน้าหวานของร่างบางจะค่อยๆโน้มใบหน้ามาจุมพิตที่ริมฝีปากหนาของคนที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ยาที่เพิ่งดื่มไปก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยๆไหลลงมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายความเย็นยะเยือกที่แพร่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายนั้นมันยิ่งทำให้ดวงฤทัยเจ็บปวดจนไม่สามารถเอ่ยอะไรต่อได้ ความหวาดกลัวเข้ามาถึงจุดจุดหนึ่งจนไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลใดๆหากในใจมันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน


            “ถ้าหากว่าวันใดเจ้าล่วงรู้ถึงความลับว่าข้าไม่ใช่มนุษย์”หยาดธาราหยดสุดท้ายถูกไหลรินลงมาจากดวงเนตรก่อนที่ยันร่างงามของตัวเองไปที่เครื่องทอผ้าตรงหน้าความรู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่ต้นแขนไปยังนิ้วมือที่ถูกเด็ดดึงหมดสิ้นทุกอย่าง หากแต่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้ชีวิตของคนที่เป็นที่รักรอดพ้นจากยมโลกต่อให้ต้องตัดแขนขาของตนต่อให้ต้องเด็ดดึงเส้นขนหรือปีกของตนทิ้งไป...


            ถ้าแลกกับชีวิตของเขาได้….ข้ายอม


            ,,,ถึงกระนั้นเจ้าจะยังมอบความรักให้นกกระเรียนเช่นข้าหรือไม่


            หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะกลัวกลัวว่าดวงเนตรอันต้องเสน่ห์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปถอดมองตนไม่เหมือนแต่ก่อนกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถอยู่ร่วมกับตนได้อีกหวาดหวั่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายนั้นเอ่ยว่ารักกลัวว่าเขาจะไม่สามารถรับได้ว่าคนที่มอบความรักให้มิใช่มนุษย์เป็นเพียงนกกระเรียนที่หมายอยากจะอยู่เคียงข้างจันทราเช่นนั้น..หวาดกลัวเสียเหลือเกินว่าในไม่ช้าความลับที่เก็บมานานจะพังทลายลง หากทว่าถ้าเพื่อคนที่รักหมดดวงฤทัยต่อให้ต้องกลายเป็นเพียงนกกระเรียนที่ไร้ซึ่งปีก..ไม่สามารถบินหนีหายไปไหนอีกแล้ว


          หากเพื่อชีวิตของเขาข้ายอมมอบให้โดยไม่เอ่ยว่าอะไรเลยล่ะ



「当たり前だよ」って 僕は笑い
翼を失くした君を抱きしめ、言った
綺麗に羽ばたいた あの日の鶴を
ずっと、今でも覚えているよ


…’ต้องรักแน่นอนอยู่แล้วสิ
ข้าตอบพลางแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับโอบกอดเจ้านกกระเรียนน้อยที่ไร้ซึ่งปีก
ภาพของนกกระเรียนที่โผบินขึ้นสู่ในนภา ณ วันนั้น
งดงามตราตรึงในจิตใจไม่เคยแม้จะลืมได้เลย



            “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรก็ตามเจ้าคือคนรักของข้าทสึรุมารุ”มือหนาจับเข้าที่เรียวนิ้วที่กำลังโอบกุมขนปีกของตนเอาไว้และดึงกายาสีขาวของเจ้านกกระเรียนตัวน้อยที่สั่นสะท้ายอย่างหวาดกลัวเข้ามาในอ้อมกอดโดยโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อก่อนที่จะโอบกอดร่างที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเอาไว้เพื่อยืนยัน….ยืนยันว่าต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นอะไรเขาก็พร้อมที่จะมอบความรักให้


            “มิคาสึกิขะ ข้า….


            “ภาพของนกกระเรียนที่ข้าช่วยเอาไว้ ณ คืนที่เหมันต์โปรยปรายนั้นข้ายังจำได้ดี”มือหนาที่เย็นยะเยือกค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รักก่อนจะดึงเข้ามากอดเอาไว้อีกครั้งและกดใบหน้าหวานนั้นลงบนอกแกร่งให้รับรู้ถึงการเต้นของดวงใจของตนก่อนที่จะเขี่ยเส้นเกศาสีบริสุทธิ์นั้นออกไปอย่างเบาและเช็ดลงที่ปลายดอกเบญจมาศงามงดและเอ่ยต่อ


            “


            “ภาพที่มันโผบินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างสง่างาม ยากที่จะลบเลือนออกไปจากใจได้จริงๆเหมือนเช่นเจ้า….


            ว่าแล้วก็ดึงมือที่บอบช้ำไปด้วยรอยแผลมากอบกุมเอาไว้ก่อนที่จะจุมพิตลงบนบาดแผลอย่างช้าๆหยาดน้ำตาของนกกระเรียนตัวน้อยๆค่อยๆไหลเอ้อล้นออกมา ดวงฤทัยสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวกลับสิ่งที่กำลังจะเกิด...ความอึดอัดใจนั้นกอบกุมจนไม่อาจจะเอ่ยเอื้อนอะไรออกไปได้ทำได้เพียงแต่รอรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่กำลังจะเอ่ยออกมาและโผเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นที่รักโดยพลัน



“และตอนนี้ข้าก็ยัง….คงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง….เจ้ากระเรียนน้อยของข้า….





そして 変わらず君を 愛しているよ

และข้ายังคงรักเจ้านกกระเรียนไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง