Fic song 四季折の羽
Mikazuki x tsurumaru
Rate : 15+
ว่าด้วยเรื่องฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคแต่งขึ้นเพื่อประกอบเพลง
Shikiori no hane มาในคู่ของ ปู่ย่า (มิคะทสึรุ ;w;) หวังว่าจะชอบกันนะคะ หากว่ามีผิดพลาดประการใดนั้น ต้องขออภัยมากๆ
ไม่รู้จะวางนิสัยตัวละครอย่างไงดี…มีอะไรสามารถคอมเม้นชมได้ค่ะ
ไม่ว่าอะไร //w// ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
Song >> https://www.youtube.com/watch?v=gqQq7bDICqk
Thai ver >>https://www.youtube.com/watch?v=uxqkOyUTaXQ
>>
https://www.youtube.com/watch?v=tyByniWMrqc
舞い落ちる粉雪が
山の背を白く染める
寂れた村の あばら家で
二人、身を寄せ合う 冬の夜
….หิมะสีขาวที่กำลังร่วงลงมา ปกคลุมให้สันภูเขานี้กลายเป็นสีขาว
ณ
กระท่อมหลังน้อยๆในหมู่บ้านที่ห่างไกล เราสองเอนกายเข้าหากัน…
ละอองเหมันต์ที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาอย่างอ้อยอิงคล้ายกับเหล่าเกล็ดเหมันต์นั่นกำลังร่ายรำในฤดูเหมันต์นี่…ความหนาวเหน็บถูกปกคลุมไปทั่วภูเขาจนสีของเหล่าพฤกษาแปรเปลี่ยนจากสีเขียวขจีกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไปทั่ว
อากาศหนาวเหน็บไม่เหมาะกับการเพาะปลูกใดๆทำให้หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ถูกปล่อยให้รกร้างไร้ซึ่งผู้คนออกมาเดินเหมือนยามปกติเนื่องจากความหนาวเหน็บเสียดสีไปตามผิวกายาจนไม่อยากจะขยับตัวออกมาทำมาหากินเช่นยามฤดูคิมหันต์ทำให้
ณ หมู่บ้านที่ถูกปกคลุมไปด้วยเหมันต์เงียบเหงากว่าปกตินัก…
ในฤดูเหมันต์ที่หนาวเหน็บรวมไปถึงเหล่าเกร็ดไอธาราที่หลอมหลวมหลั่งไหลออกมาจากท้องนภานั้นมิได้สร้างความหนาวเหน็บให้กับบ้านหลังน้อยๆที่แยกตัวออกมาจากหมู่บ้านที่ห่างไกล
ไอร้อนที่ล่องลอยไปตามนภา
พริ้วไหวไปตามอากาศพร้อมกับเสียงกระแทกกายเข้าหากันของร่างสองร่างที่กำลังตะกายกอดรัดกันราวกับไม่อยากจะแยกออกจากกัน
เสียงครวญครางแววหวานดังกระเซ้าราวกับกำลังวิงวอนให้ร่างสูงด้านบนที่กำลังทาบทับตนรีบเร่งในกิจกรรมมุดฟูกที่กำลังบันเริงด้วยไฟราคะของทั้งสองเพื่อปรนเปรอให้ร่างของตนได้ถึงฝั่งฝัน…
“อ๊า….มิคาสึกิ…อะ อ๊า….”
เสียงครางแววหวานที่ถูกไฟราคะครอบงำจนไม่เหลือแม้แต่สติเอ่ยชื่อของผู้ที่อยู่ด้านบนและกำลังเสพสมเรือนร่างขาวโพลนดังเหมันต์ข้างนอกเรือนอย่างสุขสมก่อนที่เจ้าของชื่อจะเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มรอยยิ้มออกมา…ดวงเนตรสีไฟรินที่มีจันทราเสี้ยวเดือนสามประดับอยู่ในดวงเนตรช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
หากแต่มันกลับเหมือนมนตราบางอย่างสะกดให้ร่างด้านล่างต้องจับจ้องก่อนที่จะกรีดร้องออกมาอีกคราเมื่อเจ้าของดวงเนตรดั่งภาพฉายของท้องนภาในยามราตรีเริ่มขยับแกนกายเข้ามาในช่องทางสีหวานอีกครา…
“หือ….เหตุใดเจ้าถึงได้รัดข้าแน่นแบบนี้ล่ะ…”
ไม่ว่าเปล่า
มือหนาของเจ้าของเรือนผมสีไพรินเฉกเช่นดวงเนตรก็ลูบไปตามเรือนเกศาของคนด้านล่างอย่างเบามือ
ไม่เหมือนกับการขยับกายข้างใต้ที่เร่งจังหวะและเน้นที่จุดกระสันของคนข้างใต้จนอีกฝ่ายกรีดร้องครวญครางออกมาจนเขาต้องโน้มตัวลงไปเพื่อที่จะลิ้มรสความหวานฉ่ำของริมฝีปากบางที่บัดนี้เริ่มมีรสฝาดๆของโลหิตจากการที่เจ้าของริมฝีปากน่าจุมพิตนี้กัดเพื่อกลั้นเสียงครางหวานของตนไม่ให้เขาได้ยินจนสุดท้าย…
…เจ้าตัวน้อยก็ต้องครวญครางอยู่เบื้องล่างเขาอยู่ดี…
“อ๊า!! อะ…ไม่ ตรงนั้น….ไม่ อ๊า!!”
เสียงกรีดร้องผสมเสียงครางเบาๆในลำคอเจ้าทั้งสองร่างนั้นดังแววออกมาเครือไปกับเจ้าเหมันต์ที่กำลังเริงรำภายนอก
แต่ภายในเรือนหลังเล็กๆกับโดนไฟราคะแผดเผาร้อนดังไฟเสียมากกว่าแดดร้อนในฤดูคิมหันต์เสียอีก…หากว่าพวกเขาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครผ่านมาได้ยินฉากร้อนราคะของพวกเขาที่กำลังบันเริงเป็นทำนองให้เจ้าเกร็ดธาราเริงระบำไปมา…จนในที่สุดร่างทั้งสองก็ปลดปล่อยความต้องการออกมาเพื่อเติมเต็มให้แก่กันและกัน….
มิคาสึกิ
มุเนจิกะค่อยๆเคลื่อนตัวถอดถอนแกนกายของตนออกมาจากร่างเล็กที่นอนหอบหายใจโรยรินก่อนที่จะดึงตัวเจ้าของเรือนร่างแสนบริสุทธิ์ที่เขาเพิ่งจะปรนเปรอจนอีกฝ่ายไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวเข้ามาสู่อ้อมกอดพร้อมกับมอบจุมพิตที่หน้าปากมนและปรับเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของอีกฝ่ายเรียกเสียงฤทัยที่อยู่ในกายของตนดังขึ้นอีกครา…
“อืม….หนาวจัง…”
เสียงงอแงของร่างเล็กในอ้อมกอดเรียกรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของคนที่ได้ยินก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดของตนแน่นขึ้นแล้วเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆทำให้ใบหน้าหวานของทสึรุมารุ
คุนินากะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่กำลังกดจมูกคมสันนั้นลงบนเรือนเกศาของตนและสูบกลิ่นกายของตนก่อนจะคลี่รอยยิ้มแสนงดงามจับใจราวกับมนต์สะกดให้ดวงเนตรสีเบญจมาศบนใบหน้าของเจ้าของเรือนร่างสีขาวโพลนนั่นให้จับจ้องไปยังอีกฝ่าย
「出会った日も、雪だった」
あなたが 微笑みつぶやく
囲炉裏火 に火照 った顔を
大きな袖の影に隠した
あなたが 微笑みつぶやく
囲炉裏火 に火照 った顔を
大きな袖の影に隠した
...’หิมะตกเหมือนในวันแรกที่เราพบกันเลยนะ’
ท่านพึมพำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ข้าจึงทำได้แค่เพียงซุกใบหน้าของตนที่เริ่มแดงระเรื่อ
จากไอร้อนไว้บนไหล่ของท่านที่ข้ารัก…
“วันแรก…ที่ข้าเจอกับเจ้า...หิมะก็ตกเช่นนี้นี่นะ…”
เสียงนุ่มทุ้มฟังดูรื่นหูเอ่ยขึ้นจากร่างของมิคาสึกิ
มุเนจิกะที่แย้มยิ้มออกมาพร้อมกับลูบไปตามศีรษะนุ่มสลวยของคนในอ้อมกอด
ดวงเนตรดั่งภาพฉายแห่งนภายามราตรีที่ทอดมองไปภานอกห้องที่มีเหมันต์ตกลงมาโปรยปรายก่อนที่จะหันมาสนใจคนในอ้อมกอดที่เงยหน้าขึ้นมา
ดวงเนตรที่เขาคิดว่างดงามเหลือเกิน…งดงามราวจันทรที่เฉิดฉายในวันเพ็ญก่อนที่เจ้าของดวงเนตรนั้นจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงขัดใจปนกับประหลาดใจเล็กน้อยให้เขา
“เจ้ายังจำได้อยู่งั้นหรือ?...น่าประหลาดใจเสียจริง…”มิคาสึกิ
มุเนจิกะหัวเราะเบาๆกับคำพูดเหน็บแหนมของอีกฝ่ายก่อนที่ก้มลงไปมอบจุมพิตให้ร่างเล็กเงียบลงก่อนที่จะค่อยๆกระซิบเบาๆที่ข้างหูจนทำให้คนในอ้อมกอดต้องซุกใบหน้าที่แดงระเรื่อช่างน่ารักน่าชังนั่นลงบนอกกว้างของเขาเพื่อซ่อนใบหน้านั้นไม่ให้เขาเห็น…
“จำได้สิ…ทำไมถึงจะจำวันที่เจอภรรยาของตัวเองวันแรกไม่ได้ล่ะ…”
“บะ บ้า!!”
มือบางทุบเข้าไปที่แผงอกของคนรักของตน
ใบหน้าที่แดงระเรื่อช่างตัดกับผิวกายของอีกฝ่ายได้ดีจนมิคาสึกิแอบลอบยิ้มออกมาก่อนที่จะจับรวบมือของทสึรุมารุให้อยู่เฉยๆก่อนที่จะกอดและกดกายของตนไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนี
ใบหน้าคมคายซุกลงที่ศีรษะของอีกฝ่ายก่อนจะปิดดวงเนตรสีแปลกตาของตนลง
เมื่อรับรู้ถึงการกระทำของอีกฝ่ายร่างเล็กในอ้อมกอดจึงยอมอยู่เฉยๆเพราะรับรู้ว่าคนที่กำลังกอดกายตนอยู่คงจะเหนื่อยมากแล้วทั้งวันก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาเรียกนามของผู้เป็นที่รัก..
“นี่….มิคาสึกิ…”
“หืม….”
เสียงครางในลำคอเอ่ยเป็นการบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับใหลไปยังห้วงนินทรา
แต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเหน็บเหนื่อยแล้วอยากจะพักผ่อนเต็มที…ร่างเล็กกรอกตาไปมาในอ้อมกอดของคนร่างสูง
ไม่แม้แต่ที่จะเอ่ยต่อความใดๆทำให้ร่างสูงค่อยๆถอยห่างลืมเปลือกตาของตนขึ้นก่อนที่จะทอดมองคนในอ้อมแขนที่หลบดวงเนตรของตนไปอีกทางก่อนที่ริมฝีปากหนาของมิคาสึกิจะยกยิ้มออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
“ฮะๆ…มีอะไรงั้นหรือทสึรุมารุ…”
“ข้า….อยากจะถามอะไรเจ้าหน่อย…”
ดวงเนตรดั่งดอกเบญจมาศลากสายตามาทอดมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง…แน่นอนว่ามิคาสึกิก็กำลังใจจดจ่อที่จะฟังคำถามของร่างบางในอ้อมกอด
เพราะตัวเขานั้นก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายนั้นใช้น้ำเสียงจริงจังเช่นนั้นเอ่ยคำถามใดๆให้เขาเคลือบแคลงใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว…
“เจ้า….รักข้าไหม…”
หลังจากคำถามนั้นดังขึ้น…ภายในห้องนอนที่มีเพียงทั้งสองคนที่กำลังมอบไออุ่นในฤดูเหมันต์เช่นนี้เงียบงันลง
มีเพียงแค่เสียงหายของทั้งสองคนและไอเย็นจากการหายใจที่พลิ้วไหวไปตามอากาศ…ดวงเนตรของทั้งสองสบเข้าไป
หากแต่ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆจากคนที่กำลังโอบกอดร่างเล็กของทสึรุมารุจนในดวงฤทัยรู้สึกหวาดหวั่นกับความเงียบงันและคำตอบที่อีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ยทำให้ต้องเผลอไผลกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างอยากลำบาก
ทว่าก่อนที่ตนจะได้พูดปัดๆไปเพราะความเขินอายเสียงหัวเราะประจำตัวอีกฝ่ายก็ดังออกมายิ่งเรียกใบหน้าแดงระเรื่อให้ร่างบาง
“จะ
เจ้าขำอะไรน่ะ…”
“ฮะๆๆ…ข้าขอโทษ…โอะ…เจ้าอย่าทุบข้าสิ…”
มือบางของทสึรุมารุ
คุนินากะระดมทุบตีเข้าไปที่อกแกร่งของร่างสูงพร้อมกับพลิกตัวหันหน้าไปทางอื่นแทบจะทันทีแต่ก็โดนอ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นที่รักดึงเข้ามาสู่อ้อมอกอันแสนอบอุ่นของอีกฝ่ายอยู่ดี…หลังบอบบางเปรียบเหมือนอิสตรีนั้นชนเข้ากับอกแกร่งของเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินที่ยังคงหัวเราะกับท่าทีของของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาได้น่ารักน่าชังยิ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตัวเองคงจะกลั่นแกล้งร่างเล็กมากเกินไปจึงเอ่ยออกมาข้างใบหูของอีกฝ่ายจนทำให้ใบหูนั่นขึ้นสีแดงกว่าเก่า…
“รักสิ….ข้ารักเจ้ามากที่สุด….”
ถึงแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรตอบกลับไปสู่ร่างสูงที่กำลังกอดกายของตนแน่นและฝั่งจมูกคมสันนั้นยังคงฝั่งอยู่บนเกศาสีขาวบริสุทธิ์เฉกเช่นกับเหล่าเหมันต์ที่กำลังร่ายรำโรยราอยู่ด้านนอก…ถึงแม้ว่าอากาศนอกเรือนจะสร้างความหนาวเหน็บในฤดูเหมันต์กาลเช่นนี้
หากว่าในกายกับรู้สึกอบอุ่นรวมไปถึงในฤทัยกับรู้สึกพองโตกับความรักที่อีกฝ่ายมอบให้จนเผลอยิ้มออกมาบนใบหน้า…มือเรียวบางของทสึรุมารุเอื้อมขึ้นมาจับเข้าที่มือหนาของมิคาสึกิที่ตอนนี้ได้หลับใหลลงไปสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว
มือบางซีดเซียวไร้ซึ้งสีเลือดใดๆของร่างบางค่อยๆลูบไปตามนิ้วมือของคนที่กำลังเข้าสู่ห่วงนิทราก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการปลุกหรือรบกวนร่างของอีกฝ่ายที่กำลังไม่รู้สึกตัว…
“….ข้าก็รักเจ้าเช่นกันนะ…”
春の訪れを
息吹の歓び さえずる鳥達と 歌う
息吹の歓び さえずる鳥達と 歌う
…ร่วมร้องขับขานเอ่ยกล่าวบทเพลง…
…ไปพร้อมๆกับเหล่านกน้อยที่ร้องยินดีต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ…
“….♪~~”
วจีเสียงใสดังแว่วออกมาจากเรือนร่างสีขาวของทสึรุมารุประสานเสียงร้องขับขานทำนองราวกับระฆังแก้วพร้อมกับเหล่าปักษาน้อยๆราวกับว่ามันกำลังยินดีของการมาแห่งฤดูวสันต์ที่เหล่าบุปผชาติเริ่มแย้มบานส่งกลิ่นไออบอวลสดชื่นน่ารื่นรมย์จนต้องเผลอขับกล่อมท่วงทำนองออกมาในขณะที่กำลังสะบัดผ้าที่เพิ่งซักไปเมื่อสักครู่เพื่อยกขึ้นมาตากตามหน้าที่ของตนที่ต้องดูแลความเรียบร้อยในบ้าน
ถึงแม้ว่าบางครั้งจะชอบที่จะหาเรื่องน่าแปลกใจมาทำให้คนรักของตนที่จะต้องออกไปหาของป่าทุกวันแปลกใจเล่นก็ตามที…
ผ้าผืนสุดท้ายที่ยกขึ้นไปตากเอาไว้
ณ
ราวตากผ้าไม้ที่ถูกทำไว้ก่อนจะพาดผืนผ้าขาวใหญ่ลงไปเพื่อให้มันแห้งจากการที่ถูกเอาไปชำระซักรีด…แต่ก่อนที่จะได้จัดแจงอะไรเสร็จร่างบางของทสึรุมารุก็ถูกฉุดล้มลงมาสู่อ้อมกอดของใครบางคนแทบจะทันทีจนดวงเนตรสีเบญจมาศงามงดเบิ่งโพล่งด้วยความตกใจ
แต่เมื่อสายตาสามารถปรับตามการเคลื่อนไหวได้และสมองกลับมาประมวณผลอีกครั้งก็เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ
“มิคาสึกิ!! เจ้าเล่นอะไรของเจ้าเนี่ย…”
เสียงโวยวายของร่างขาวบริสุทธิ์ถูกปิดด้วยริมฝีปากของมิคาสึกิแทบจะทันที
ลิ้นร้อนค่อยๆชอนไชไปตามโพลงปากของเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้เริ่มส่งเสียงครวญครางยั่วเยาให้เกิดตัณหาอีกครั้งครา
ความหอมหวานที่ร่างสูงมอบให้ตนนั้นทำให้ทสึรุมารุแทบจะคุ้มสติไว้ให้อยู่กับกายาไม่อยู่
มันเหมือนกับการที่ได้ล่องลอยไปตามเหล่ามวลเมฆาทว่าไม่นานนักมือบางก็ต้องทุบตีอกแกร่งของชายหนุ่มที่กำลังปรนเปรอจุมพิตตนเพื่อประท้วงขออากาศได้หายใจ…
「綺麗な声だね」と あなたが言った
ただそれが、その言葉が、嬉しくて
ただそれが、その言葉が、嬉しくて
…’ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเสียจริง’
เพียงแค่เอื้อนเอ่ยคำพูดนั้นออกมาเท่านั้นก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้า….
“เพราะเหตุใดนะ….ทสึรุ…ทั้งๆที่เป็นแค่เพียงบทเพลงธรรมดาแต่เมื่อเจ้าร้องออกมามันกลับไพเราะตราตรึงในหัวใจของข้าเหลือเกิน
ฮะๆๆ…”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระซิบข้างๆใบหูของร่างบางในอ้อมกอด
ก่อนที่จะแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับจุมพิตเข้าไปที่พวงแก้มของทสึรุมารุฟอดใหญ่จนแก้มขาวเนียนนั่นขึ้นสีแดงระเรื่ออีกรอบก่อนที่จะลากดวงเนตรสีสวยมาสบตากับภาพฉายของนภายามราตรีของมิคาสึกิและพองแก้มขึ้นเหมือนเป็นการบ่งบอกว่าตนกำลังงอนกับการฉวยโอกาสของอีกฝ่าย..
“กลับมาเร็วทำไมไม่บอกข้าก่อน….”ไม่ว่าเปล่ามือบางก็เอื้อมขึ้นไปบีบจมูกของร่างสูงจนดวงเนตรอันเป็นภาพฉายของท้องนภายามราตรีต้องปิดลงทันทีด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติก่อนเสียงร้องครางเบาๆในลำคอนั้นบ่งบอกถึงการที่ตนไม่สามารถหายใจได้สะดวกยิ่งเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของร่างบาง
ณ
ยามนี้จนคนที่โดนกลั่นแกล้งต้องลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนที่จะดึงมืออีกฝ่ายออกมาจมูกของตนและจูบเบาๆที่มือบางนั้นอย่างทนุทนอม…
“ข้าขอโทษ…ที่ไม่ได้บอกเจ้าว่าข้าจะกลับเร็ว
เพียงแต่ข้าเห็นเทพธิดามาร้องเพลงขับกล่อม ณ เรือนของข้าทำให้ข้าเผลอที่จะอยู่ฟังจนแม่เทพธิดานั้นร่ำร้องจบ…เจ้าหายโกรธข้าได้ไหม…”
“เจ้าพูดบ้าอะไรเนี่ยมิคาสึกิ!!”
หลังจากได้ยินคำสดับที่เอ่ยข้างหูของชายหนุ่มผู้ที่กำลังโอบกายาของตนเอาไว้
ใบหน้าหวานของร่างบางก็ขึ้นสีหนักกว่าเก่าและเผลอไผลทุบเข้าไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นที่รักเต็มๆ
แต่ใบหน้างามงดก็ได้ระบายรอยยิ้มออกมาปรากฏบนดวงหน้าขาวสวยของทสึรุมารุก่อนที่จะหัวเราะออกมากับท่าทางที่แสดงถึงเจ็บปวดของมิคาสึกิที่กอบกุมหน้าตัวเองเอาไว้เหตุเพราะโดนภรรยาแสนรักของตัวเองฟาดมือเข้ามาที่ใบหน้าของตัวเองอย่างจังจนทสึรุมารุต้องเข้าไปดูว่ามีแผลอะไรมากไหมในเวลาต่อมา…
ในยามบ่ายของฤดูวสันต์ดวงสุริยันนั้นฉายแสงไม่ค่อยแรงนักเหมาะแก่การที่จะมานั่งชมธรรมชาติและนั่งรับลมที่ชายเรือนเสียจริง
ดวงเนตรสีเบญจมาศของทสึรุมารุทอดมองไปที่ไกลแสนไกลโดยที่บนตักบางของตนมีบุรุษเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินเข้มงามและยังเป็นคนที่กุมดวงฤทัยของตนเอาไว้กำลังนอนอิงศีรษะลงบนตักของอีกฝ่ายโดยมีมือบางขาวซีดนั้นกำลังลูบไล้ไปตามเกศาที่สยายบนตักของตนอย่างเพลินมือ…บางครั้งที่มือบางนั้นลูบผ่านก็มีแรงกดขยี้ให้เกศาสีงามแปลกตานั้นต้องยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ว่าเจ้าตัวที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยดุว่าอะไรเพียงแค่มีเสียงหัวเราะออกมาเบาๆให้ดวงฤทับชุ่มชื่นไปดวงกลิ่นไอของความรัก…
….อา…ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน…
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองก่อนที่มือบางที่กำลังลูบไล้ไปตามเกศางามงดของร่างสูงก็หยุดชะงักก่อนที่ดวงเนตรนั้นทอดมองไปที่ไกลแสนไกลก็ลากสายตามายังคนที่กำลังนอนอยู่บนตักของตน…นัยน์ตาสีงามมีอารมณ์วูบไหวไปมาพยายามสะกดกลั้นมิให้หยาดหยดธาราร่วงหล่นลงมากระทบใบหน้าของมิคาสึกิที่นอนอยู่….ไม่อยากให้เวลานั้นเดินต่อไปเลย
ความคิดแปลกประหลาดยิ่งเพิ่มความโศกาให้กับเจ้าของร่างสีขาวก่อนที่สมองจะได้สั่งงานเหมือนดวงใจมันควบคุมบังคับเหนือหลักเหตุผล
เสียงหวานใสก็ได้เอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัว…
「いつか、綺麗な声が出なくなっても、
それでも、私を愛してくれますか?」
それでも、私を愛してくれますか?」
...’ถ้าหากวันใดเสียงของข้ามิได้ไพเราะเช่นเดิมแล้ว
เจ้าจะยังรักข้าเหมือนเดิมอยู่ไหม’….
“มิคาสึกิ…”เสียงเบาบางจากร่างที่กำลังหนุนนอนเอ่ยออกมาเสียงแหบพร่าทำให้ดวงเนตรอันเป็นภาพฉายแห่งท้องนภายามราตรีต้องลืมตาขึ้นมาทอดมองคนที่อยู่เหนือกว่าตนก่อนที่จะระบายรอยยิ้มและกอบกุมมือบางนั้นเอาไว้
“มีอะไรหรือ….”
ดอกเบญจมาศแสนงามพริ้วไหวไปมาอย่างลังเลที่จะเอ่ยถามคำถาม…ยิ่งทำให้เสียงดวงฤทัยของทั้งสองเต้นรัวแรงกว่าเก่า
มือบางที่โดนอีกฝ่าบกอบกุมยิ่งเพิ่มแรงกุมมือของมิคาสึกิจนกลายเป็นแรงบีบเบาๆก่อนที่เกศาสีขาวราวเหมันต์ของฤดูหนาวจะถูกปรกลงมาจนไม่สามารถเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังตีสีหน้าเช่นไร
ยิ่งทำให้มิคาสึกิงงงัวกับท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่ายจนต้องยันกายขึ้นมาหากในจังหวะนั้นร่างของทสึรุมารุก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายแทบจะทันทีทำให้ร่างสูงเกือบตั้งหลักรับคนตัวบางแทบจะไม่ทันก่อนเสียงหัวเราะน้อยๆของทสึรุมารุก็ดังออกมาให้ได้ยินก่อนที่คำถามต่อมาจะเอ่ยให้อีกเขาได้โต้ตอบ…
“เจ้าชอบเวลาข้าร้องเพลงงั้นหรือ….”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ราวเด็กน้อย
ดวงเนตรที่ฉายแววขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็นนั้นยิ่งสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาของมิคาสึกิอีกครั้ง
ก่อนที่มือหนาจะลูบไล้ไปตามเรือนเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของร่างขาวบางตรงหน้าตนอย่างทะนุทนอมเรียกเสียงครางหวานอย่างเคลิบเคลิ้มเช่นลูกแมวน้อยก่อนที่มือหนาจะเชยคางมนของอีกฝ่ายขึ้นมาและประทับจุมพิตบนริมฝีปากบางเบาๆและเอ่ยตอบ…
“ใช่…ข้าชอบ….”
ดวงเนตรสีเบญจมาศงามงดสั่นระริกก่อนที่จะโน้มใบหน้าของตนซุกไปที่ไหล่กว้างของคนรักของตนก่อนที่จะโอบรัดร่างสูงเข้ามาหาตนให้รับรู้ถึงไออุ่นในกายของตนที่มันยิ่งเพิ่มอุณหภูมิให้ใบหน้ายิ่งร้อนเข้าไปใหญ่…หยาดหยดธาราเริ่มไหลไปทั่วขอบดวงเนตรเหมือนมันจะค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาของตนอยู่
แต่ทว่าทสึรุมารุจำต้องพยายามสะกดไม่ให้มันไหลออกมาจากดวงตาของตนและพยายามสะกดมิให้เสียงที่สั่นระริกของตนดังไปสู่อีกฝ่าย…
“ถ้าหากว่าวันใด…เสียงของข้ามิได้ไพเราะ…ไม่สิ….”ดวงเนตรเริ่มสั่นระรัวก่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นที่รักและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือยิ่งทำให้ดวงเนตรของมิคาสึกิเบิ่งโตขึ้นกับท่าทีของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาให้เขาเห็น…
“…”
“ถ้าหากว่าเสียงของข้าไม่ได้งดงามเช่นเดิม…ไม่มีแม้เพียงเสียงที่จะเอื้อนเอ่ยเรียกชื่อของเจ้า…ถึงกระนั้นเจ้าจะยังคงรักข้าคนนี้อยู่หรือไม่….เจ้าจะยังรักทสึรุมารุ คุนินากะคนนี้คนเดิมหรือไม่…”
ร่างบางของทสึรุมารุสั่นเทา…ใบหน้างามเริ่มมีหยาดน้ำตาไหลลงมาสู่ใบหน้าทำเอามิคาสึกิอึ้งเงียบงันก่อนที่จะระบายรอยยิ้มออกมาเช่นเดิมแล้วใช้ปลายนิ้วของตนปาดหยาดหยดธาราสีใสออกจากพวงแก้มของอีกฝ่ายอย่างเบามือก่อนจะจูบซับเหล่าธารานั้นออกไปก่อนที่จะโอบกอดร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาราวลูกนกอย่างเบามือและกระซิบไปที่ข้างหูอีกครั้งเหมือนเป็นการปลอบประโลมให้อีกฝ่ายวางใจ..
…วางใจว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยร่างนี้ออกไปจากอ้อมกอดนี้เด็ดขาด…
「当たり前だよ」って 優しく笑い
そっと 大きな手が頬を撫でた
そっと 大きな手が頬を撫でた
…’แน่นอนว่าต้องรักอยู่แล้ว’
เจ้าเอ่ยออกมาพร้อมคลี่ยิ้มบาง
และค่อยๆไล้ฝ่ามือเลื่อนมือใหญ่มาปาดหยดน้ำตาที่กำลังไหลหลั่งริน…
“ความรักของข้าจะคงอยู่นิรันดร์…และข้าจะขอยืนยันคำเดิมตั้งแต่แรกพบที่ข้าเจอเจ้า….ข้ารักเจ้าเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง… “
ไม่ว่าเปล่าพร้อมกุมมือบางนั้นเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองตนก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งคนรักของตนไปเด็ดขาด…ไม่มีวันที่จะปล่อยให้มือนี้เหน็บหนาวเด็ดขาด…ก่อนที่จะโน้มใบหน้าไปจุมพิตที่หน้าผากมนของทสึรุมารุและดึงอีกฝ่ายมาสู่อ้อมอก…สัมผัสให้รู้ถึงเสียงของดวงฤทัยที่กำลังเต้นอยู่ในกายเพื่อบอกว่าดวงใจนี้จะเป็นของอีกฝ่ายตลอดไป…ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด…
“มิคาสึกิ…”
“สึรุ….เจ้าได้ยินไหม…เสียงหัวใจของข้าน่ะ…”
“….”
“ไม่ว่าจะทุกการเต้นของมัน…ไม่ว่าจะทุกลมหายใจ…มันกำลังพร่ำบอกว่าข้านั้นรักเจ้ามาก…และจะรัก…ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเลยนะ
ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…ข้าให้สัญญา…”
ร่างบางเงียบงันก่อนที่จะเอียงหูของตนไปที่อกแกร่งข้างซ้ายของเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นนี่ก่อนที่ใบหน้าจะแดงระเรื่อขึ้นเพราะเสียงหัวใจที่ดังสะท้อนดังก้องตราตรึงออกมาในโสตประสาทนั้น…เสียงหัวใจที่เต้นนั้นยิ่งทำให้ทสึรุมารุไม่อยากจะมองหน้า…ไม่อยากจะสบตาของมิคาสึกิเลยเพราะความเขินอายมากถึงมากที่สุด
แต่เหตุใดกันนะ…ในดวงฤทัยรู้สึกพองโตเข้าไปใหญ่กับคำยืนยันและเสียงกระซิบที่พร่ำบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งตนไปเด็ดขาด…พอคิดแล้วยิ่งต้องระบายรอยยิ้มออกมาบนดวงหน้าพร้อมหยาดน้ำตาที่ค่อยๆหลั่งริน
“ขอบคุณนะ…”
…อา…พระผู้เป็นเจ้า…ข้าอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้เสียจริง…
青葉照る 夏の午後
あなたが病に倒れた
貧しい夫婦暮らしでは
あなたを治す薬は 買えない
あなたが病に倒れた
貧しい夫婦暮らしでは
あなたを治す薬は 買えない
…บ่ายวันหนึ่งในฤดูคิมหันต์ แมกไม้ทอประกายสีเขียวขจี
ยามนั้นเจ้าได้ล้มป่วยเพราะโรคร้ายที่รุมเล้า
หากแต่คู่สามีภรรยาจนๆเช่นพวกเราจะหาเงินมาซื้อยาให้เจ้าได้อย่างไร….
“อา…แดดร้อนจัง…”
เสียงเอ่ยบ่นเรื่อยๆของร่างบางที่กำลังวางเมล็ดพืชลงบนพื้นดินที่ทำการพรวนเอาไว้เพื่อรอให้เจ้าตัวหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปและรอสำหรับฤดูฝนที่ใกล้จะเข้ามาช่างเหมาะกับการเพาะปลูกเพื่อหาเงินไปเลี้ยงชีพต่อไป…ถึงแม้ว่าหน้าที่นี้จะเป็นของมิคาสึกิที่ต้องมาทำงานออกแดดเช่นนี้
แต่ว่าในยามที่เขาไม่มีอะไรทำร่างบางก็เสนอให้เขาไปช่วยผู้เป็นสามีทำมาหากิน…ไม่สิต้องบอกว่าหาข้ออ้างหนีออกจากบ้านแก้เบื่อเสียมากกว่า…
“ฮะๆ…ข้าก็บอกเจ้าแล้วนะว่าอากาศมันร้อน…”ร่างสูงเอ่ยก่อนที่จะเดินเอาผ้าขนหนูสีฟ้าอันพาดบ่าของตนเอาไว้มาปกคลุมเรือนเกศาสีขาวบริสุทธิ์ของร่างบางที่ทำหน้างงงัวแต่ก็จับผ้านั้นเอาไว้มาผูกคลุมหัวของตนให้พ้นจากแสงสุริยันที่ฉายแสงแรงกล้าออกมาก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“ขอบใจเจ้านะ…อืม…ยังมีกลิ่นของมิคาสึกิอยู่เลย…”ไม่ว่าเปล่าแกล้งดอมดมผ้าที่คลุมศีรษะของตนเป็นการกลั้นแกล้งให้ใบหน้าหล่อเหลาของมิคาสึกิต้องแดงระเรื่ออีกครา
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ก็เมื่อมือหนาของอีกฝ่ายนั้นจับเข้าที่ใบหน้าขาวเรียวของตนก่อนที่จะมอบจุมพิตลงบนริมฝีปากตอนที่ทสึรุมารุไม่ได้ตั้งตัวและเอ่ยเสียงบางเบาข้างๆหูของร่างบางที่ตอนนี้ยืนแข็งเป็นไม้กระดานไปเสียแล้ว…ยิ่งทำเช่นนั้นมันยิ่งสะกิดต่อมความกลั้นแกล้งที่ปกปิดมานานของมิคาสึกิให้ตื่นขึ้นอีกคราจริงๆ..
“ถ้าอยากจะดอมดมกลิ่นกายของข้า
เดี๋ยวกลับไปข้าจะให้เจ้าได้เสพสมใจอยากเลยล่ะ ฮะๆๆ…”
“มิคาสึกิ!!”
กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นก่อนที่จะทุบเข้าที่อกแกร่งของอีกฝ่ายที่หัวเราะระรัวเพราะได้กลั้นแกล้งคนที่ชอบแกล้งเขาตลอดเวลาเช่นนี้มันช่างมีความสุขเสียจนลืมความร้อนที่ล่องลอยอยู่
ณ มวลนภาเลย
เมื่อกลั้นแกล้งร่างบางได้สมใจอยากแล้วร่างสูงของมิคาสึกิก็กลับไปหยิบจอบที่ตั้งเอาไว้มาและเริ่มขุดดินอีกครั้งตามหน้าที่ของตน…พอเห็นเช่นนั้นร่างบางก็เริ่มลงมือหว่านเมล็ดพืชต่อจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้เพราะถึงแม้จะมีผ้าจากร่างสูงที่ช่วยกรีดกันมิให้แสงสุริยันแผดเผาผิวกายขาวเนียนของตนและยิ่งเป็นห่วงสุขภาพของชายหนุ่มที่ไร้ซึ่งสิ่งใดกรีดกันแสงแดดอีก…
“แค่กๆ….”
โครม!!!
เสียงไอหอบอย่างรุนแรงพร้อมกับแววเสียงของวัตถุที่ล้มลงไปทำให้ร่างบางต้องสะดุ้งก่อนจะค่อยๆหันไปทอดมองว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่แล้วดวงฤทัยก็แทบจะสูญสลายไปเมื่อร่างของมิคาสึกินั้นล้มลงไปนอนกับพื้นดินพร้อมกับหยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากริมฝีปากชโลมเต็มไปทั่วมือหนาของอีกฝ่าย
ร่างบางรีบโยนตะกร้าเมล็ดพันธุ์ที่ตนถือเอาไว้อยู่ก่อนจะเข้าไปพยุงร่างสูงของผู้เป็นที่รักขึ้นมาก่อนจะพยายามกรีดร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายสุดเสียง
“มิคาสึกิ!! มิคาสึกิ!! เจ้าเป็นอะไร!!
มิคาสึกิได้ยินเสียงของข้าไหม!!”
ทสึรุมารุกรีดร้องออกมาก่อนจะเขย่าตัวของร่างสูงที่หมดสตินอนแน่นิ่งราวคนตายจาก…หยาดพิรุธค่อยๆรินไหลออกมาทั้งๆที่เมื่อครู่แสงสุริยันนั้นเพิ่งฉายแสงแรงกล้าชำระล้างกลิ่นไอของหยาดโลหิตและมันยังกลบหยาดธาราที่ไหลออกมาจากบุปผชาติแสนงามที่สั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัวว่าคนรักของตนจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก…กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะจากจรไปและไม่มีวันหวนมา…
…กลัวว่าจะต้องเสียเขาไป…
เป็นไปโดยยากเสียจริงที่จะต้องแบกห่ามร่างของอีกฝ่าย…ถึงแม้ว่าส่วนสูงของตนจะไม่ได้ห่างอะไรจากมิคาสึกิมากนัก
แต่ว่ายอมรับเลยว่ามัดกล้ามเนื้อและสรีระของร่างสูงนั้นสมชายมากกว่าตนเสียอีก…ยิ่งสายพิรุธที่สาดเทลงมารวมไปถึงหยาดหยดน้ำตาที่ทำให้ดวงเนตรพร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกแล้วทำให้การแบกร่างสูงเจ้าของเรือนเกศาสีไพรินที่ยังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมาเป็นไปได้ยากยิ่ง…
สายพิรุธเทกระหน่ำลงมาไม่หยุด
ในดวงฤทัยของเจ้าของเรือนร่างขาวสว่างนั้นร้อนรุมยิ่งกว่าโดนเพลิงนรกแผดเผา
ความหวาดกลัวเกาะกุมในจิตใจภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสียงหวานยังคงกรีดร้องเรียกชื่อของคนที่ตนกำลังแบกอยู่ไม่หยุดปากแข่งกับเสียงของสายธาราที่รินไหลออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าว…เมื่อพาร่างสูงมาถึงเรือนของตนก็เรียบค้นหาเสื้อผ้าที่อบอุ่นเปลี่ยนให้คนที่ยังคงไม่ได้สติ
แต่หยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากการไอนั้นยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…สมองของร่างบางขาวโพลนไปหมดไม่รู้ควรจะทำอะไรต่อดี
ก็ได้แต่เปลี่ยนเสื้อผ้าของอีกฝ่ายก่อนจะรีบวิ่งลงมายังตัวหมู่บ้านเพื่อไปหาหมอยาที่เป็นเพื่อนเก่าแก่ของมิคาสึกิ…
เพราะความเร่งรีบนั้นทำให้เจ้าตัวลืมที่จะหยิบร่มติดไม้ติดมือมาจนทำให้ร่างกายของทสึรุมารุถูกชโลมไปด้วยหยาดพิรุธที่ไหลลงมา
แต่สิ่งที่เขาหวาดหวั่นและทำให้ขาเรียวต้องเร่งฝีเท้าวิ่งลงไปด้วยความเร่งรีบเพราะหวาดกลัวว่ามันจะไม่ทันเวลา….หวาดกลัวจนเรียวขานั้นสั่นเทาทำให้ก้าวสะดุดลงไปนอนล้มกลิ้งเปรอะเปื้อนตามสายโคลนที่ราดยาวจนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตนสวมใส่นั้นเต็มไปด้วยสีน้ำตาลของโคลนสกปรก…หากแต่เมื่อสติกลับเข้ามาหาตัวทำให้ร่างบางยันกายของตนลุกขึ้นได้ก็ยังคงออกตัววิ่งเข้าไปตามทางเพื่อไปยังบ้านของ
‘หมอยา’ ที่ตนรู้จักเพื่อข้อความช่วยเหลืออย่างเร่งรีบ…
ปังๆๆ!!!!!
“อิชิคิริมารุ!!! อิชิคิริมารุ!!!
เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่!!!!”
มือเรียวบางทุบตีประตูพร้อมตะโกนก้องเพื่อให้คนในบ้านเปิดมาต้อนรับ…หากแต่ไร้ซึ่งสิ่งใดๆจนร่างบางจำต้องทุบเข้าไปที่ประตูอีกหลายๆครั้งๆจนในที่สุดประตูไม้บานเล็กก็ถูกเปิดกระชากออกเผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดสีเขียวที่ทำหน้าตาแตกตื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของแขกที่มาเยือนและยังท่าทีรีบร้อนนั้นอีกทำให้อิชิคิริมารุผู้เป็นถึงหมอยาคนเก่งประจำหมู่บ้านจำต้องปลอบประโลมเจ้าของร่างขาวบางที่บัดนี้เหมือนสติแตกไปแล้ว
“อิชิคิริมารุ ช่วยด้วย!! ช่วยมิคาสึกิด้วย!!
ได้โปรดช่วยเขาด้วย!!!”
“ใจเย็นๆก่อนทสึรุมารุ…มิคาสึกิเป็นอะไร
แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ล่ะ!!”
เมื่อดวงเนตรสีเบญจมาศเห็นร่างสูงของอิชิคิริมารุก็พุ่งเข้าไปเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนที่จะพยายามลากตัวของอีกคนออกมาจากบ้านทั้งๆที่สายพิรุธกำลังสาดเทลงมาโหมกระหน่ำ
ดูอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยแน่นอนหากว่าต้องออกเดินไปตอนนี้ในสภาพของชุดลำลองของตน…แต่ดูท่าทีของร่างบอบบางที่เปียกโชกไปด้วยสายพิรุธแล้วยังสภาพสะบัดสะบอมราวกับคนไปกลิ้งกับโคลนมาหลายๆรอบพร้อมกับเรียวขาที่มีหยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากชายฮากามะที่ขาดออกเล็กน้อยนั้นอีก…บ่งบอกได้เลยว่ามันจะต้องมีเหตุร้ายอะไรแน่นอนที่ทำให้คนขี้เล่นและใจเย็นอย่างทสึรุมารุนั้นสติแตกได้ถึงขนาดนี้…
“มิคาสึกิ…มิคาสึกิเขาเป็นอะไรไม่รู้!! ฮึก…ขอร้องล่ะอิชิคิริมารุ! ช่วยไปตรวจดูให้ที…ขอร้องล่ะ…”
“ทสึรุมารุ คุนินากะ!!! เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ!!”
เสียงแผดร้องสบถคำพูดออกมาเสียงแข็งปนเปไปกับความตกใจที่อีกฝ่ายได้ทำต่อหน้าของเขา…ร่างขาวบางของทสึรุมารุล้มลงไปคุกเข่าลงและก้มลงราวกับกราบกรานเขาก่อนที่จะหลั่งรินน้ำตาออกมาพร้อมกับเอ่ยเสียงที่ฟังแล้วเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรเหมือนเป็นคนเสียสตินั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกลำบากใจจนต้องพยายามฉุดดึงให้ร่างบางลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ…แต่ดูเหมือนว่าคุณหมอหนุ่มจะต้องใช้ความพยายามอย่างสูงกับการจับใจความในการเหล่าเรื่องของอีกฝ่ายอย่างมาก…
“เข้าใจแล้ว…ข้าเข้าใจแล้ว…เจ้าปล่อยข้าก่อนนะทสึรุมารุ…ข้าจะไปหยิบกล่องยา…เจ้าใจเย็นๆก่อนนะ…”
มือหนาของเขาบีบเข้าไปที่เรียวแขนของร่างบางเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยเขาก่อน…เมื่อได้ยินคำสัญญาเช่นนั้นเจ้าของร่างเล็กก็ยอมที่จะปล่อยมือของอีกฝ่ายที่บัดนี้เดินไปหยิบกล่องยาขนาดปานกลางอันเป็นเครื่องมือของเหล่าแพทย์ที่พวกเขาจะเอาไว้ใช้รักษายามออกไปตรวจที่บ้านของคนไข้พร้อมกับอีกมือที่ถือร่มไม้สองคันแล้วยื่นไปหาร่างบางที่กำลังกอบกุมกายของตนด้วยความหนาวจากการตากฝนมานานแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่เหมือนจะเป็นห่วง…
“เจ้าเอาไปใช้เถอะ…หากว่าเจ้าป่วยอีกคน
มิคาสึกิคงจะร้อนใจแน่แท้…”
“…ขอบคุณนะ…”
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่าจนแทบไม่เหลือความใสของน้ำเสียงเดิมจนอิชิคิริมารุต้องตกตะลึงงันกับเสียงของอีกฝ่ายที่แปลกไป
แต่ก็ไม่แปลกใจมากนักเพราะจากการที่ต้องพร่ำเรียกตะโกนเรียกเขาและเอ่ยนามเรียกสติของมิคาสึกิแถมยังวิ่งฝ่าสายพิรุธมาหาตัวเขาที่อยู่เชิงเขาที่ห่างไกลจากตัวบ้านของอีกฝ่ายหลายหลาอยู่เช่นกัน…ไม่แปลกใจเลยที่เสียงของอีกฝ่ายจะแหบแห้งหายไป
เป็นเวลาไม่นานมากนักที่ร่างบางของทสึรุมารุพาหมอหนุ่มมายังบ้านของตนแต่แล้วดวงเนตรทั้งสองคู่ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏเมื่อห็นร่างของชายหนุ่มเรือนเกศาสีไพรินงามอันเป็นคนรักของตนล้มไปนอนกับพื้นทั่วทั่งใบหน้าและมือหนาเต็มไปด้วยหยาดโลหิตกำลังนอนหอบหายใจโรยรินนั้นยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับทสึรุมารุที่เพิ่งได้เข้ามาในบ้านได้สภาพที่เปียกโชก
ร่มไม้ในมือถูกขว้างทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก่อนที่จะเข้าไปพยุงกายของมิคาสึกิที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆด้วยความรีบร้อน
เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกขานนามของผู้เป็นที่รักพร้อมหยาดหยดน้ำตาที่มันไหลหลั่งออกมาจากดวงเนตรจนขอบเบญจมาศเริ่มช้ำออกมานั้นยิ่งเรียกความตกใจให้ร่างสูงของอิชิคิริมารุจนต้องเข้าไปช่วยพยุงร่างของมิคาสึกิไปนอนที่ฟูกดีๆแล้วบอกให้ทสึรุมารุไปต้มน้ำเพื่อนำมาใช้กับการรักษา…
…แต่ดูเหมือนสติของอีกฝ่ายจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย…
明くる日も 明くる日も
ただ、ひたすらに機を織る
儚き紅葉の葉のように
あなたの命を、散らせはしない
ただ、ひたすらに機を織る
儚き紅葉の葉のように
あなたの命を、散らせはしない
…วันแล้ววันเล่า หรือแม้ในวันต่อๆไป
ข้าก็ได้เพียงแต่นั่งทอผ้าผืนงามโดยที่ไม่เคยได้หยุดพัก
ข้าจะไม่มีวันยอมปล่อยให้ชีวิตของเจ้าต้องโรยราไป
ดุจเช่นดั่งใบเมเปิ้ลที่รอวันร่วงโรยเด็ดขาด…
“เขาเป็นโรคร้าย…แย่หน่อยนะ…ถึงแม้จะมีทางรักษาแต่ค่ายาที่ใช้ในการรักษามันก็แพงมากเลยด้วยสิ…ข้าขอโทษจริงๆนะที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย…”
เสียงเอ่ยบอกของหมอหนุ่มอิชิคิริมารุเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบากโดยที่มีเพียงใบหน้าอึ้งงันของทสึรุมารุที่ทอดมองไปด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับดวงฤทัยกำลังสูญสลายไปอย่างช้าๆ…ไม่มีแม้เพียงเสียงเอื้อนเอ่ยใด…ไร้ซึ่งหยดน้ำตาใดๆไหลลงมาสู่ดวงเนตรนั้นอีกแล้วนั้นยิ่งทำให้หมอหนุ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรสั้นๆ
เพียงแต่ร่างบางที่ลุกขึ้นแล้วก้มลงต่อหน้าเขาก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่เขาจำต้องเงียบงัน…
“ข้าเข้าใจแล้ว…ท่านต้องการค่าใช้จ่ายในการรักษาเท่าไหร่….ข้าพร้อม…ข้าพร้อมที่จะจ่ายมันให้ท่าน…”
ดวงเนตรที่มุ่งมั่นนั้นฉายแววออกมาอย่างจริงจังจนอิชิคิริมารุจำต้องถอดถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยื่นห่อยาห่อเล็กๆห่อหนึ่งไปให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้ได้เพียงทำหน้างงงวยกับเจ้าห่อยาเล็กๆนั้นก่อนที่จะพยักหน้าเข้าใจเมื่อตัวเขาเอ่ยอธิบาย
“นั้นคือยาที่จะทำให้อากาศของมิคาสึกิทุเลาลง…ตัวยาของมันทำมาจากสมุนไพรหายากที่ขึ้นทางทิศบูรพา…มันจึงมีราคาแพงมาก…ข้าอยากจะช่วยเจ้านะทสึรุมารุ
แต่ว่าแต่สถานะของพวกเราทั้งสองหรือแม้แต่ทรัพย์สมบัติใดๆคงไม่พอที่จะนำมารักษามิคาสึกิหรอก…”
“ท่านกำลังบอกให้ข้าตัดใจงั้นหรือ…”ดวงหน้าของหมอหนุ่มเหม่อมองอีกฝ่ายด้วยดวงเนตรว่างเปล่า…เขารู้ว่าสิ่งที่ตนเอ่ยนั้นยากยิ่งนัก
แต่โรคร้ายที่กำลังกอบกุมชีวิตของร่างสูงผู้เป็นคนรักของอีกฝ่ายนั้นเป็นโรคร้ายที่จำต้องใช้ยาชั้นดีที่มีราคาแพงมารักษา…และห่อยาเล็กๆนั้นก็เป็นเพียงตัวยาตัวเดียวที่เขาใช้เงินทุนของตนเพียงเล็กน้อยที่สะสมมาทั้งชีวิตเก็บเอาไว้มอบให้อีกฝ่ายไปฟรีๆ
ทว่าปริมาณเท่านั้นมันก็ช่วยได้แค่ทุเลาลง…มิได้ช่วยให้อาการที่เป็นอยู่มันหายไปหรอก…
“นั้นคือสิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าทำใจ…”
“ไม่มีวัน….!!”
เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
ดวงเนตรสีเบญจมาศงามที่มีหยาดธาราไหลออกมานั้นแห้งเหือดไปเสียแล้ว
ตอนนี้เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่จะรักษาอาการป่วยของคนรักของตนให้หายไปเท่านั้นก่อนที่จะหยิบห่อยานั้นเข้าแขนเสื้อแล้วเอ่ยบอกต่อให้หมอหนุ่มไว้วางใจว่าตนจะต้องเอาเงินมาจ่ายค่ายาให้ได้
และค่าหมอของอีกฝ่ายด้วย…แต่ขอให้เขานั้นช่วยรักษาอาการของมิคาสึกิต่อเถอะ…ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่เขาก็พร้อมที่จะหามาให้
ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม…
เมื่อเอ่ยลาและส่งท่านหมออิชิคิริมารุกลับบ้านที่อยู่เชิงเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วทสึรุมารุก็เดินตรงไปยังห้องของตนที่มีเครื่องทอผ้าไม้แสนรักอันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นาน…มือบางลูบไล้ไปตามตัวไม้ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้
ดวงเนตรวูบไหวไปตามแรงอารมณ์แต่บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต้องลังเลเรื่องอันใดอีกแล้ว…สมองของร่างบางคิดเพียงแค่จะต้องหาเงินมารักษาอาการป่วยของมิคาสึกิให้ได้…ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม…เมื่อคิดได้เช่นนั้นมือเรียวยาวก็เริ่มบรรจงทักทอผ้าออกมา
“ข้าไม่มีวันยอมหรอก….ไม่ยอมให้เรื่องของพวกเราสองคนจบลงเพียงแค่นี้…”
กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้งพร้อมหยาดธาราที่เริ่มไหลริน
ความเจ็บปวดที่นิ้วมือเมื่อเส้นด้ายสาดปาดเข้าไปจนเกิดหยาดโลหิตที่ไหลลงมาเป็นสาย…สีแดงแห่งหยาดโลหิตนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้เลยเพราะตอนนี้หัวสมองของทสึรุมารุมีเพียงแค่ต้อนั่งทอผ้าต่อไปเพื่อเอาไปแลกเป็นเงินมาซื้อยาเพื่อยื้อชีวิตของอีกฝ่ายให้มีลมหายใจกลับมายืนเคียงข้างเขาให้ได้อีกครั้ง…
“ข้าจะไม่ยอมให้ชีวิตของเจาต้องโรยสลายเหมือนเช่นใบไม้เหล่านั้นหรอกนะ,,,,มิคาสึกิ…”
…ทำได้เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยดวงฤทัยที่เริ่มแตกร้าว…
季節は流れて
夏の終わりを告げる鈴虫が リン、と鳴く
夏の終わりを告げる鈴虫が リン、と鳴く
…เมื่อฤดูกาลได้เปลี่ยนแปรผันไป
เหล่าจิ้งหรีดกรีดเสียงเรไร
เป็นการบ่งบอกว่าหมดสิ้นฤดูร้อนแล้ว…
“เจ้าต้องกินยานะมิคาสึกิ! นี่ตื่นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เสียงโวยวายปนขำเบาๆเอ่ยออกมาจากร่างของทสึรุมารุที่กำลังพยายามปลุกให้ร่างสูงของมิคาสึกิตื่นขึ้นมากินยาโดยดี…หลังที่เจ้าของเรือนเกศาสีไพรินงามนั้นล้มป่วยลงทสึรุมารุก็แทบจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างและยังต้องมาคอยดูแลอาการของผู้เป็นคนรักที่ไม่อาจจะเดินไปไหนได้คนเดียวเพราะเรี่ยวแรงนั้นได้เหือดหายไปหมดสิ้น
แถมเมื่อยามราตรีอีกฝ่ายจะต้องนั่งทอผ้าเพื่อที่จะเอาเงินไปซื้อยามารักษาร่างสูงอีก…ถึงแม้ว่าบางครั้งท่านหมออิชิคิริมารุจะมอบยาให้เองฟรีๆแต่ก็ไม่สามารถจะช่วยให้มิคาสึกิหายดีได้เลย
ทว่าคนที่ป่วยน่าจะทำตัวดีๆเพื่อไม่ให้ตนต้องมานั่งเครียดเพิ่มเติมอย่างการจะทำอย่างไรเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่สวมคราบเป็นเด็กดื้อยาเช่นนี้….
“ฮะๆ…กินยาอีกแล้วเหรอ…”
เสียงทุ้มแหบของมิคาสึกิเอ่ยก่อนจะมุดตัวเข้าไปในฟูกนอนอีกครั้ง…ถึงแม้ว่ามันจะดูน่าเอ็นดู แต่ตอนนี้เริ่มจะสร้างความหงุดหงิดในกับร่างบางเสียแล้วทำให้เรือนร่างขาวบางของทสึรุมารุจำต้องฉุดกระชากตัวของมิคาสึกิให้ลุกขึ้นนั่งดีๆก่อนที่จะยื่นแก้วยาที่ถูกต้มร้อนๆเอาไว้ให้อีกฝ่ายและพยายามฝืนบังคับให้อีกคนกิน
“อย่าทำเป็นเด็กดื้อยานะมิคาสึกิ! เจ้าต้องกินไม่งั้นจะหายได้อย่างไรล่ะ…”
“ฮะๆ…บางครั้งข้าก็อยากจะเป็นเด็กน้อยอ้อนเจ้าเหมือนกันนะ…”ไม่ว่าเปล่าพร้อมกับฉวยโอกาสจับมือบางที่เต็มไปด้วยลอยแผลช้ำจากการที่ทอผ้าติดกันเป็นเวลาหลายวันทำให้ได้แผลมากมายเช่นนี้…ยิ่งมองมันยิ่งรู้สึกเจ็บเข้าไปในทรวงอกหากแต่มิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปทั้งนั้น
แต่ความรู้สึกชินชาที่เกาะกุมบนดวงใจนี่คืออะไรกันนะ…ก่อนที่ทสึรุมารุจะเอ่ยอะไรออกมาดวงเนตรอันเป็นภาพฉายแห่งท้องนภายามราตรีก็ลากเลื่อนมาสบเข้าที่นัยน์ตาของอีกคนแล้วลูบนิ้วมือบางนั้นอย่างทะนุทนอมเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บแผล
「綺麗な指だね」と 傷だらけの手を握る、その手が
あまりにも冷たくて・・・
あまりにも冷たくて・・・
…’นิ้วของเจ้าช่างงดงามเหลือเกิน’
เจ้ากุมมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของข้าเอาไว้
น่าใจหายเสียจริงเมื่อรับรู้ได้ว่ามือของเจ้าช่างเย็นยะเยือก….
“นิ้วมือของเจ้าที่คอยมอบไออุ่นนี่…ช่างงดงามเหมือนในวันวานเลยนะ…ฮะๆ…”
เสียงนุ่มเอ่ยเบาๆราวกับให้มันกลืนกินไปสายลมที่โบกพัด…ร่างบางทอดมองมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนและมือหนาของอีกฝ่ายที่กำลังลูบไปตามปลายนิ้วของตนอย่างเบามือเพื่อเป็นการไม่ให้เขาเจ็บแผลไปมากกว่านี้…เพียงแต่สิ่งที่น่าใจหายมากที่สุดคือปลายนิ้วที่สัมผัสเข้าไปที่บาดแผลของตนนั้นมันช่างเย็นเหลือเกิน…เย็นยะเยือกจนน่าตกใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มีอุณหภูมิที่หนาวเหน็บเช่นนี้…
…เหตุใดเจ้าถึงได้เย็นเฉียบเช่นซากศพเช่นนี้ล่ะ…
ทสึรุมารุค่อยๆเคลื่อนตัววางถ้วยยาที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มเสร็จไปโอบกอดร่างสูงจากด้านหลังก่อนที่จะเอาหน้าของตนซุกเข้าไปที่แผ่นหลังกว้างใหญ่นั้นอย่างเงียบงัน…ตอนนี้ความรู้สึกในหัวนั้นตีกันยุ่งเหยิงไปหมด…ความหวาดกลัวค่อยๆเกาะกุมในดวงฤทัยของร่างบางไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกไป
อยากจะหลับตาลงและหลับไปทั้งๆแบบนี้กับคนรักของตน…แน่นอนว่านั้นเป็นไปไม่ได้…
…ต่อให้เฝ้าภาวนาสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่สามารถจะหยุดกาลเวลาเพียงเท่านั้นลงไปได้…
「いつか綺麗な指がなくなっても、
それでも私を愛してくれますか?」
それでも私を愛してくれますか?」
….’ถ้าหากวันใดไม่มีนิ้วมือเรียวงามเช่นนี้แล้ว’
เช่นนั้นเจ้าจะยังคงมอบความรักให้กับข้าใช่หรือไม่…
“….ถ้าหากวันใดนิ้วของข้าไม่เหลือความสวยงามเช่นนี้….ไม่มีนิ้วมือเรียวบางเช่นนี้…ไม่มีแม้มือจับกอบกุมมอบไออุ่นให้กับเจ้าแล้ว….”น้ำเสียงของร่างบางเริ่มสั่นระรัวไปพร้อมๆกับกายาที่หนาวเหน็บและสั่นสะท้าน
ก่อนที่จะโอบกอดร่างสูงเอาไว้แนบกลางและโน้มใบหน้าฝั่งลงไป ณ
แผนหลังของผู้ที่ตนยอมมอบทั้งดวงฤทัยให้ไปอย่างหมดใจและเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่น…
“ถึงกระนั้น…เจ้ายังจะรักข้าอยู่หรือไม่….เจ้ายังจะรักข้าผู้ที่ไม่มีแม้อะไรเลยให้เจ้าหรือไม่…”
“ทสึรุมารุ…”มือแกร่งเลื่อนมาจับนิ้วมือบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงบีบเบาๆให้อีกฝ่ายเงยหน้ามาจนใจกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด…
「当たり前だよ」って 咳き込みながら
痛む指を 大きな手が包んだ
痛む指を 大きな手が包んだ
…’ต้องรักแน่นอนอยู่แล้ว’ ท่านตอบพลางหอบไอ
แล้วค่อยๆกอบกุมมือที่บอบช้ำของข้าเอาไว้…
“ใครว่าเจ้าไม่มีอะไร….อย่างน้อยๆ…ต่อให้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป…ต่อให้ร่างของเจ้าจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไรก็ช่าง…ต่อให้เจ้าไม่เหลืออะไรเลย…ข้าจะขอยืนยันคำเดิม…”ยังไม่ว่าจบร่างสูงของมิคาสึกิค่อยๆหันมาหาตนที่กำลังหลั่งรินน้ำตาออกมาก่อนที่จะจูบซับไปที่หางดวงเนตรนั้นอย่างเบาๆแล้วแย้มยิ้มออกมาและจุมพิตลงบนหลังมือของอีกคนเบาๆ
“…”
“ข้ารักเจ้า…ไม่มีวันใดที่ข้าไม่เคยหยุดรักเจ้า…เพราะฉะนั้นไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจไปเลยนะ…”
มอบไออุ่นโดยการโอบกอดและฉุดรั้งให้อีกฝ่ายมาซบอกแกร่งของตนก่อนที่จะใช้มือหนาเขี่ยไปตามเกศาที่ปกปิดใบหน้างามงดของอีกคน…ถึงแม้เขาจะรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานก็ไม่สามารถที่จะมอบไออุ่นนี่ให้กับอีกฝ่ายได้แล้ว
แต่อย่างน้อยๆในช่วงเวลาที่สามารถปลอบประโลมให้อีกฝ่ายไม่ต้องหลั่งรินสายธาราใดๆออกมาจากดวงเนตร
เพียงเท่านั้นเขาก็รู้สึกยินดีเหลือเกินแล้ว…
“ข้าเอง….ก็รักเจ้านะ…”
…โอบกอดไออุ่นนี่เอาไว้พร้อมกับดวงฤทัยที่ค่อยๆแตกสลายลงไปเรื่อยๆ…
昼も夜も 機を織り続けて
――嗚呼 落日の風――
…ขยับกี่ทอผ้า ทั้งราตรีหรือทิวามิได้หยุดพัก…
--อา สายลมอาทิตย์อัสดง--
早く早く、薬を買わなければ・・・
…ต้องรีบ ต้องเร่งรีบไปซื้อยาก่อนที่จะไม่ทันเวลา…
――無情に朽ちていく実の――
--ค่อยๆโบกพัดดับแสงชีวิตลงไป--
もう少し、あと少し、紅葉が散る前に
อีกเพียงนิดเดียว
ขออีกแค่นิดเดียว เพื่อที่จะให้ทันท่วงเวลา
――灯火を揺らし 落とす――
--โบกสะบัดตัวของข้า ให้ร่วงโรยดั่งใบไม้--
この指が止まるまで・・・ この羽が、尽きるまで・・・
…ต่อให้นิ้วนี้จะแหลกสลาย ต่อให้ไร้ซึ่งแม้กระทั้งคนปีกแล้วก็ตาม….
「いつか、私がヒトじゃなくなっても、
あなたは、私を愛してくれますか?」
怖くて真実は告げられぬまま
そっと ひとり、最後の羽を折り・・・
あなたは、私を愛してくれますか?」
怖くて真実は告げられぬまま
そっと ひとり、最後の羽を折り・・・
…’ถ้าหากวันใดท่านรู้ถึงความลับว่าตัวข้าไม่ใช่มนุษย์
เช่นนั้นแล้วเจ้าจะยังคงมอบความรักนั้นให้กับข้าอยู่รึเปล่านะ’…
เพราะหวาดกลัวว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงจนไม่กล้าเอ่ยความจริง
จึงค่อยๆดึงขนปีกเส้นสุดท้ายออกมา…
“มิคาสึกิ....”
เสียงเอ่ยออกมาช่างอ่อนแรงเสียเหลือเกิน…ก่อนที่ดวงหน้าหวานของร่างบางจะค่อยๆโน้มใบหน้ามาจุมพิตที่ริมฝีปากหนาของคนที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ยาที่เพิ่งดื่มไปก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยๆไหลลงมาบนใบหน้าของอีกฝ่าย…ความเย็นยะเยือกที่แพร่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายนั้นมันยิ่งทำให้ดวงฤทัยเจ็บปวดจนไม่สามารถเอ่ยอะไรต่อได้
ความหวาดกลัวเข้ามาถึงจุดจุดหนึ่งจนไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลใดๆ…หากในใจ…มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน…
“ถ้าหากว่าวันใด…เจ้าล่วงรู้ถึงความลับว่าข้าไม่ใช่มนุษย์…”หยาดธาราหยดสุดท้ายถูกไหลรินลงมาจากดวงเนตรก่อนที่ยันร่างงามของตัวเองไปที่เครื่องทอผ้าตรงหน้า…ความรู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่ต้นแขนไปยังนิ้วมือที่ถูกเด็ดดึงหมดสิ้นทุกอย่าง
หากแต่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้ชีวิตของคนที่เป็นที่รักรอดพ้นจากยมโลก…ต่อให้ต้องตัดแขนขาของตน…ต่อให้ต้องเด็ดดึงเส้นขนหรือปีกของตนทิ้งไป...
…ถ้าแลกกับชีวิตของเขาได้….ข้ายอม…
“,,,ถึงกระนั้นเจ้าจะยังมอบความรัก…ให้นกกระเรียนเช่นข้าหรือไม่…”
หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป
เพราะกลัว…กลัวว่าดวงเนตรอันต้องเสน่ห์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปถอดมองตนไม่เหมือนแต่ก่อน…กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถอยู่ร่วมกับตนได้อีก…หวาดหวั่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายนั้นเอ่ยว่ารัก…กลัวว่าเขาจะไม่สามารถรับได้ว่าคนที่มอบความรักให้มิใช่มนุษย์…เป็นเพียงนกกระเรียนที่หมายอยากจะอยู่เคียงข้างจันทราเช่นนั้น..หวาดกลัวเสียเหลือเกินว่าในไม่ช้าความลับที่เก็บมานานจะพังทลายลง
หากทว่าถ้าเพื่อคนที่รักหมดดวงฤทัย…ต่อให้ต้องกลายเป็นเพียงนกกระเรียนที่ไร้ซึ่งปีก..ไม่สามารถบินหนีหายไปไหนอีกแล้ว…
…หากเพื่อชีวิตของเขา…ข้ายอมมอบให้โดยไม่เอ่ยว่าอะไรเลยล่ะ…
「当たり前だよ」って 僕は笑い
翼を失くした君を抱きしめ、言った
綺麗に羽ばたいた あの日の鶴を
ずっと、今でも覚えているよ
翼を失くした君を抱きしめ、言った
綺麗に羽ばたいた あの日の鶴を
ずっと、今でも覚えているよ
…’ต้องรักแน่นอนอยู่แล้วสิ’
ข้าตอบพลางแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับโอบกอดเจ้านกกระเรียนน้อยที่ไร้ซึ่งปีก
ภาพของนกกระเรียนที่โผบินขึ้นสู่ในนภา
ณ วันนั้น
งดงามตราตรึงในจิตใจไม่เคยแม้จะลืมได้เลย…
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรก็ตาม…เจ้าคือคนรักของข้า…ทสึรุมารุ…”มือหนาจับเข้าที่เรียวนิ้วที่กำลังโอบกุมขนปีกของตนเอาไว้และดึงกายาสีขาวของเจ้านกกระเรียนตัวน้อยที่สั่นสะท้ายอย่างหวาดกลัวเข้ามาในอ้อมกอดโดยโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ…ก่อนที่จะโอบกอดร่างที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเอาไว้เพื่อยืนยัน….ยืนยันว่าต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นอะไรเขาก็พร้อมที่จะมอบความรักให้…
“มิคาสึกิ…ขะ ข้า….”
“ภาพของนกกระเรียนที่ข้าช่วยเอาไว้
ณ คืนที่เหมันต์โปรยปรายนั้น…ข้ายังจำได้ดี…”มือหนาที่เย็นยะเยือกค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รักก่อนจะดึงเข้ามากอดเอาไว้อีกครั้งและกดใบหน้าหวานนั้นลงบนอกแกร่งให้รับรู้ถึงการเต้นของดวงใจของตนก่อนที่จะเขี่ยเส้นเกศาสีบริสุทธิ์นั้นออกไปอย่างเบาและเช็ดลงที่ปลายดอกเบญจมาศงามงดและเอ่ยต่อ
“…”
“ภาพที่มันโผบินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างสง่างาม
ยากที่จะลบเลือนออกไปจากใจได้จริงๆ…เหมือนเช่นเจ้า….”
ว่าแล้วก็ดึงมือที่บอบช้ำไปด้วยรอยแผลมากอบกุมเอาไว้ก่อนที่จะจุมพิตลงบนบาดแผลอย่างช้าๆ…หยาดน้ำตาของนกกระเรียนตัวน้อยๆค่อยๆไหลเอ้อล้นออกมา ดวงฤทัยสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวกลับสิ่งที่กำลังจะเกิด...ความอึดอัดใจนั้นกอบกุมจนไม่อาจจะเอ่ยเอื้อนอะไรออกไปได้…ทำได้เพียงแต่รอรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่กำลังจะเอ่ยออกมาและโผเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นที่รักโดยพลัน
“และตอนนี้…ข้าก็ยัง….คงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง….เจ้ากระเรียนน้อยของข้า….”
そして 変わらず君を 愛しているよ
…และข้ายังคงรักเจ้านกกระเรียนไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง…